ขยายผลจับ 21 บัญชีม้า หลังหญิงวัย 63 ปี เผาตัวเองเสียชีวิต พบถูกหลอกจากคอลเซนเตอร์ให้โอนเงินร่วมลงทุนสูญกว่า 5.2 ล้าน

3484

ขยายผลจับ 21 บัญชีม้า หลังหญิงวัย 63 ปี เผาตัวเองเสียชีวิต พบถูกหลอกจากคอเซนเตอร์ให้โอนเงินร่วมลงทุนสูญกว่า 5.2 ล้าน

ตำรวจภูธรภาค 5 ขยายผลจับกุมกลุ่มขบวนการแก๊งคอเซนเตอร์ หลอกลวงหญิงสูงอายุวัย 63 ปี ลงทุนหารายได้พิเศษจากแพลตฟอร์มออนไลน์ “MUINTONG” โดยไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนไปกว่า 5.2 ล้านบาท กระทั่งรู้ว่าถูกหลอกจึงเกิดความเครียดและไม่มีทางออก ใช้น้ำมันราดตัวเองก่อนเผาร่างเสียชีวิตในบ้าน พื้นที่ .แม่ริม .เชียงใหม่ กระทั่งตำรวจสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มบัญชีม้า กว่า 21 บัญชี ที่ร่วมขบวนการ โดยล่าสุดจับกุมแล้ว 6 ราย

พล...ฤตธาพล ยี่สาคร รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมคณะเดินทางไปยัง สภ.แม่ริม เชียงใหม่ เพื่อแถลงความคืบหน้าในคดีที่ นางยุพิน อายุ 63 ปี ถูกพบเป็นศพถูกไฟไหม้เกรียมบริเวณร่างกาย และพบศพอยู่บริเวณติดกับกำแพงหลังบ้านพัก ใกล้กับวัดพระนอนขอนตาล .แม่ริม เมื่อ 14 ตุลาคม 66 ที่ผ่านมา เบื้องต้นพบว่าเป็นการเผาร่างจนเสียชีวิต เนื่องจากเครียดเรื่องหนี้สินที่แก๊งคอเซนเตอร์หลอกให้นำไปลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์ ชื่อ “MUINTONG” โดยมีการโอนออกจากบัญชีถึง 15 ครั้ง เป็นจำนวนเงินกว่า 5.2 ล้านบาท เมื่อพบว่าถูกหลอกจึงคิดสั้นไปซื้อน้ำมันมาเตรียมไว้ก่อนจะก่อเหตุ ซึ่งต้องรอผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด จึงจะชี้ชัดว่าเป็นการฆ่าตัวตายเองหรือไม่

พล...ฤตธาพล ยี่สาคร รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า ภายหลังการเกิดคดีดังกล่าวขึ้น ทางตำรวจได้เร่งรัดติดตามสืบสวนจนพบร่องรอยและพยานหลักฐาน ปรากฏในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิต ว่าผู้เสียชีวิตได้ถูกหลอกลวงจากกลุ่มคอเซนเตอร์ให้โอนเงิน เพื่อร่วมลงทุนและทำภารกิจโดยได้รับผลตอบแทนเป็นเงินจำนวนมากผิดปกติ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “MUINTONG” แต่ไม่ได้รับเงินตามที่ถูกหลอกลวง จนเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวนกว่า 5.2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อทำการสืบสวนสอบสวนพบว่า คดีดังกล่าวเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินร่วมลงทุน และโอนเงินทำภารกิจเพื่อรับผลตอบแทน และโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ดังกล่าว เช่น เติมเงินครั้งแรก 30,000 บาท รับรางวัล 899 บาท เป็นต้น และเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายลักษณะอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งยังมีการหลอกลวงและจูงใจให้ผู้เสียหายทำการชักชวนบุคคลอื่นให้มาร่วมลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพื่อเลื่อนระดับชั้นของรหัสสมาชิก และได้รับค่าคอมมิชัน ในจำนวนที่สูงขึ้น ซึ่งไม่มีอยู่จริง รวมถึงมีการโน้มน้าวใจให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มมากขึ้นเพื่อต่อรหัสสมาชิก และรับเงินกำไรที่ได้จากการลงทุน ซึ่งถ้าหากไม่ทำการโอนเงินรหัสสมาชิกจะหมดอายุ โดยผู้เสียหายได้ถูกหลอกลวงในลักษณะเช่นนี้เรื่อยมา และหลงเชื่อจนต้องโอนเงินให้แก่กลุ่มคนร้าย จนกระทั่งมารู้ภายหลังว่าถูกหลอกลวง

ทั้งนี้จากการสืบสวนพบว่าผู้เสียหายได้ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายในชั้นที่ 1 และเงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีชั้นที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 21 บัญชี มี 21 ราย โดยแบ่งเป็นบัญชีชั้นที่ 1 จำนวน 10 บัญชี และเงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีที่ 2 จำนวน 11 บัญชี อีกทั้งยังมีเงินของผู้เสียหายบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีชั้นที่ 3 ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้กระทำความผิดที่ปรากฏทั้งหมด จำนวน 20 ราย และพบว่าผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย 1 ราย ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 66 ศาลจังหวัดเซียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดในคดีทั้งหมด ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยพบว่าผู้ต้องหาแบ่งเป็นกลุ่มบัญชีชั้นที่ 1 ประกอบไปด้วยคนไทย 10 ราย, กลุ่มบัญชีชั้นที่ 2 มีคนไทย 7 ราย และคนต่างชาติ จำนวน 3 ราย รวมทั้งสิ้น จำนวน 20 ราย

ล่าสุดในวันนี้ (24 ตุลาคม 66) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีมาทำการสืบสวนขยายผล และนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน 6ราย โดยแบ่งเป็น กลุ่มบัญชีชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นคนไทย จำนวน 3 ราย และกลุ่มบัญชีชั้นที่ 2 จำนวน 3ราย (เป็นคนไทย 2 ราย, คนต่างชาติ 1 ราย) ทั้งนี้ในส่วนของผู้ต้องหาตามหมายจับที่อยู่ระหว่างหลบหนีอีก 14 รายนั้น จะได้ดำเนินการระดมกำลังและติดตามจับกุมผู้ต้องหามาสืบสวนขยายผล และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป