อดีตนักร้องดัง “ดาวมยุรี” ควงน้องชาย เข้าพบตำรวจ สภ.หางดง ทวงเงินค่าจ้างกว่าแสนบาท กับบริษัทคู่กรณีหลังนำเครื่องเสียงไปลงงาน

5853

อดีตนักร้องดัง “ดาวมยุรี” ควงน้องชาย เข้าพบตำรวจ สภ.หางดง ทวงเงินค่าจ้างกว่าแสนบาท กับบริษัทคู่กรณีหลังนำเครื่องเสียงไปลงงานแสดง แต่ไม่ได้เงิน ขณะที่ทางด้านคู่กรณีส่งตัวแทนมาเจรจา

ช่วงบ่ายวันที่ 6 มิ.ย.63 รายงานข่าวแจ้งว่า อดีตนักร้องดังดาวมยุรี หรือ นางสาวมยุรี พันธนาม พร้อมน้องชาย คือ นายวีรภัทร์ อัครพลปรีชากิจ ได้เดินทางนำหลักฐานมายัง สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ เพื่อเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจรจาไกล่เกลี่ย กรณีหลังจากที่ผ่านมาทางด้านดาราสาวได้มีการโพสต์ภาพและข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องราวที่น้องชายได้ไปทำงานแสดงดนตรี แสง สี เสียง ที่ จังหวัดลำปาง จนเสร็จ แต่ผ่านมานานกว่า 5 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับเงินค่าจ้างตามที่สัญญากับบริษัทแห่งหนึ่ง จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น โดยในวันนี้ในการเข้ามาเจรจากันนั้นทางด้านบริษัทคู่กรณีก็ได้มีตัวแทนบริษัท เข้ามาพูดคุย โดยมี ร.ต.อ.วสันต์ มณีกาศ รอง สว.(สอบสวน) สภ.หางดง ร่วมรับฟังและเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ และทั้งหมดต้องใช้เวลาพูดคุยไกล่เกลี่ยกันนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงได้ข้อสรุป

โดยหลังจากที่ได้พูดคุยกันเสร็จทางด้าน นางสาวมยุรี พันธนาม หรือดาว มยุรี ได้เปิดเผยว่า ในการเดินทางมาวันนี้เป็นการเดินทางมาเพื่อตกลงการทำงานระหว่างน้องของตนกับทางบริษัทออแกไนซ์ โดยก่อนหน้านี้นั้นทางน้องของตนได้ทำงานร่วมกันกับไลน์แมน ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ซึ่งได้มีการนำเครื่องเสียงไปจัดแสดงในงาน โดยเป็นของเพื่อนส่วนหนึ่งและของน้องชายส่วนหนึ่ง โดยทางน้องชายเป็นคนประสานงานกับบริษัทออแกไนซ์ ดังกล่าว และด้วยความที่น้องของตนเป็นตัวบุคคล ทางบริษัทจึงบอกว่าชื่อบุคคลไม่สามารถรับงานออแกไนซ์ ใหญ่แบบนี้ไม่ได้ และต้องให้ทางไลน์แมน ยื่นเรื่องมา แต่ด้วยความที่ฝั่งตนเป็นคนกันเองทำให้ไม่ได้ยื่นอะไร ประกอบกับมีการพูดจากันปากต่อปาก โดย นายเอ ได้มีการรับประสานงานกับออแกไนซ์ จากนั้นก็ไปส่งนายบี แล้วนายบีก็เอาเครื่องเสียงและอุปกรณ์มาลงที่งาน แต่ด้วยความที่เวลานั้นน้องของตนคิดว่าเป็นกันเอง ทำให้ไม่รู้ว่าตัวบุคคลยื่นกับทางบริษัทไม่ได้ เนื่องจากปกติที่น้องไปรับกับเพื่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร และไม่ได้มีการแจ้งมาตั้งแต่แรก แต่ทางฝั่งนั้นก็บอกว่าได้มีการแจ้งกับน้องมาโดยตลอด และทางตนก็ไม่ทราบประกอบกับการที่ตนเป็นห่วงน้องจึงออกมาปกป้องและเพื่ออยากช่วยเหลือน้อง ส่วนในเรื่องที่ตนโพสต์เรื่องราวลงไปนั้นตนก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหาย

และต่อมาตนก็ได้ข่าวว่าฝั่งทางคู่กรณีก็จะมีการฟ้องร้องกลับ ในเรื่องของ พ.ร.บ. ซึ่งในส่วนนี้ตนก็มองว่าไม่เป็นอะไร เพราะตนโพสต์เรื่องนี้ลงในเฟสบุ๊กของตัวเอง และไม่ได้มีการเอ่ยชื่อแต่อย่างใด แต่ทางฝั่งคู่กรณีบอกว่ามีผลกระทบกับบริษัท แต่ในวันงานตนก็ได้ไปร่วมและรูปที่โพสต์ลงไปนั้นก็เป็นรูปที่ตนไปงานนั้น ในครั้งแรกที่ลงในเฟซบุ๊ก แต่ทางคู่กรณีก็บอกว่าเป็นการทำให้เกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตามในส่วนของเรื่องเงินค่าจ้างนั้นทางคู่กรณีก็จะจ่ายให้ และแจ้งว่าเป็นคนละส่วนกัน และจะฟ้องร้องในฐานะที่ตนโพสต์ภาพก็ให้เป็นไปตามนั้น ซึ่งในส่วนของเรื่องค่าจ้างนั้นตอนนี้ได้มีการเจรจาและให้เซ็นสัญญากันในนามให้ไลน์แมนยื่นบิลภายใน 30 วัน ซึ่งในตอนแรกอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท แต่เมื่อทำการตรวจสอบพบว่าทางน้องได้มีการทำเรื่องเบิกเงินไปบางส่วนแล้ว และทราบว่าเหลืออยู่ประมาณ 170,000 บาท และให้ยื่นบิลเบิกในนามบริษัทไลน์แมนซึ่งทางฝั่งตนก็ยินยอมดำเนินการตามนั้น ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.หากมีการแจ้งความจริง ก็จะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป