นายกฯ ย้ำจุดยืนไทยต่อ “ทรัมป์” ไทยยึดมั่นพันธะ Joint Declaration ชี้ฝ่ายกัมพูชาละเมิด ไทยจำเป็นจะต้องป้องกันอธิปไตย

22

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 68 – เวลา 21.20 น. ณ ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยมี นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมรับฟังการสนทนาด้วย

จากนั้น เวลา 22.00 น. ณ โถงบันได ตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เกี่ยวกับผลการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย เข้าร่วมด้วย

โดยบรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์มีความเป็นห่วงในสถานการณ์และอยากจะให้ทุกอย่างกลับไปที่ปฏิญญา (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อยู่ในปฏิญญามาตลอด ไม่เคยออกนอกเงื่อนไข แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิด โดยทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียอวัยวะชีวิต ทรัพย์สิน ทำให้ไทยจำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อป้องกันอธิปไตย ดินแดน ทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชนชาวไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้อธิบายย้ำกับประธานาธิบดีทรัมป์ในเหตุผลดังกล่าว เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่าไทยมิได้เป็นฝ่ายรุกราน แต่สิ่งที่ไทยทำคือการตอบโต้เท่านั้น

นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าใจและกล่าวว่า หากมีเรื่องเช่นนี้ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยสายตรงหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ตลอดเวลา รวมถึงนายกรัฐมนตรีเองก็สามารถต่อสายโทรหาประธานาธิบดีทรัมป์ได้โดยตรงเช่นกัน ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยได้มีการพูดคุยกับฝ่ายสหรัฐฯ ในหลายระดับเป็นประจำอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรียังกล่าวยอมรับว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้มีการหยุดยิง ซึ่งได้เรียนว่า ขอให้ไปบอกฝ่ายกัมพูชาดีกว่า โดยกัมพูชาต้องออกมาบอกให้โลกรู้ว่ากัมพูชาจะหยุดยิง แล้วจะถอนกำลังออกไป รวมถึงเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่วางเอาไว้ออกไปให้หมด ซึ่งทุ่นระเบิดใหม่ที่กัมพูชาวางไว้เป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยได้รับการยืนยันจาก AOT เป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่เพิ่งวาง มีความชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดปฏิญญา ดังนั้น ฝ่ายที่ละเมิดต้องเป็นฝ่ายที่แก้ไข ไม่ใช่ฝ่ายที่ถูกกระทำต้องเป็นฝ่ายแก้ไข

สำหรับประเด็นเรื่องอัตราภาษีศุลกากร ประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัญญาว่าจะให้ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีกว่าประเทศอื่น โดยรอบก่อน ประธานาธิบดีทรัมป์มีภารกิจมาก อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ในครั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายถามถึงประเด็นนี้ขึ้นมา และไม่ได้มีท่าทีกดดัน หรือจะนำมาผูกกับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี โดยไทยจะทำหน้าที่ต่อไป เมื่อถึงเวลาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ ประเด็นที่ได้พูดคุยในครั้งนี้ก็จะหยิบยกขึ้นมาด้วย

“ทุกฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ แต่รัฐบาลก็ต้องไม่ยอมให้ใครมาละเมิดเรื่องอธิปไตย ดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน หากยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะไม่ยอมให้ประชาชนถูกกลั่นแกล้ง ละเมิด หรือถูกลอบยิงจากฝ่ายตรงข้ามโดยเด็ดขาด” นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันแก่สื่อมวลชน