17 ต.ค. 68 – นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวถึงโรคไข้เลือดออกว่า เกิดจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค ทำให้ผู้ป่วยมีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 39-40 องศาเซลเซียสประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา นอกจากนี้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมจำนวน 46,750 ราย อัตราป่วย 70.76 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 39 ราย
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 10 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมจำนวน 4,585 ราย อัตราป่วย 69.48 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้
1) จ.นครราชสีมา มีผู้ป่วยสะสม 1,556 ราย อัตราป่วย 59.61 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
2) จ.ชัยภูมิ มีผู้ป่วยสะสม 367 ราย อัตราป่วย 34.31 ต่อประชากรแสนคน ไม่มีผู้เสียชีวิต
3) จ.บุรีรัมย์ มีผู้ป่วยสะสม 1,056 ราย อัตราป่วย 67.61 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
4) จ.สุรินทร์ มีผู้ป่วยสะสม 1,606 ราย อัตราป่วย 118.32 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย
กลุ่มอายุที่ป่วยมากที่สุด คือ 10-14 ปี รองลงมาคือ 5-9 ปี และ 15-24 ปี
นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน กล่าวต่อไปว่า ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองอย่าให้ถูกยุงกัด โดยทายากันยุง สวมเสื้อผ้ามิดชิด นอนในมุ้ง หรือติดมุ้งลวดในบ้าน และหลีกเลี่ยงสถานที่มียุงชุกชุม หากค้างคืนในป่า เขา ไร่ นา ต้องนอนในมุ้ง หรือหามุ้งคลุมเปล หากมีอาการสงสัยโรคไข้เลือดออก เช่น มีไข้สูงเกิน 39-40 องศาเซลเซียสประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีผื่นหรือมีจุดเลือดออกที่ลำตัว แขน ขา ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ยาลดไข้ที่ปลอดภัยคือยาพาราเซตามอล ตามขนาดยาที่กำหนด ควรหลีกเลี่ยงยาลดไข้ในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนค แอสไพริน รวมถึงยาชุด ซึ่งอาจมีผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร และยากต่อการรักษา หากรับประทานยาลดไข้หรือเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ภายใน 1-2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422