24 มิ.ย. 68 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ถึงกรณีธุรกิจไทยในกัมพูชาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ว่า การทำธุรกิจในกัมพูชาเราสนับสนุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการทูต หรือด้านอื่น ๆ เราก็เต็มที่ไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น อย่างที่ผ่านมา กัมพูชาประกาศงดซื้อน้ำมัน และก๊าซจากไทย เป็นเรื่องของชายแดนที่เกิดขึ้น แต่หากลุกลามมากยิ่งขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้นำกัมพูชาจะต้องกำหนดราคาน้ำมัน โดยหากไม่รับจากของไทยคงจะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ไม่แน่ใจว่าทางกัมพูชาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งอาจเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวกัมพูชา และหากมีคนไทยอยู่ในพื้นที่ด้วยก็จะได้รับผลกระทบ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้มีการสำรวจธุรกิจอื่นที่ลงทุนในกัมพูชาหมดแล้ว โดยตามฐานข้อมูลที่แจ้งมานั้นธุรกิจไทยส่วนใหญ่ที่ทำกัมพูชาจะเป็นประเภทโรงแรม และจะอยู่ในตัวเมือง ซึ่งบริเวณชายแดนยังไม่ค่อยมี และผลกระทบต่อคนไทยเอง ทั้งเรื่องเกษตรกรและเอสเอ็มอีต่าง ๆ ทางภาครัฐ และภาคเอกชนพร้อมที่จะซัพพอร์ต และซื้อสินค้าของพี่น้องประชาชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดน ว่า มีการมอบอำนาจในการประชุม สมช. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ก็ให้พิจารณาจากหน้างานว่าหากเกิดอะไรขึ้นให้อำนาจทหารช่วยดู ว่าควรจะปิด หรือเปิดด่านอย่างไร
สำหรับมูลค่าความเสียหายที่ไทยเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชานั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า โดยรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท และโดยเฉลี่ยของประเทศไทยเสียหายวันละประมาณ 80 ล้านบาท
ทางด้าน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นโยบายที่ดำเนินการตามที่นายกฯ มอบหมายคือการตั้งศูนย์วอร์รูมในการประเมินสถานการณ์ในทุกวัน โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงาน ขณะเดียวกันก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั่วโลกมาร่วมทำงานวอร์รูมนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจอาเซียน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา เพราะถือเป็นแหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และมีการเคลื่อนย้ายจากเมียวดีประเทศเมียนมามาที่กัมพูชา นอกจากนี้ จะมีการขยายผลสืบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับการให้ที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเงินก็จะมีการสืบสวน และขยายผลเพื่อขอหมายจับต่อไป
สำหรับความร่วมมือจากองค์กรนานาชาติ จะมีความเข้มข้นขนาดไหน จเรตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ตนเองเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นโอดีซี (UNODC) มีการประชุมอย่างต่อเนื่องเป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะที่อินเตอร์โพลเราเป็นสมาชิกเช่นเดียวกับกัมพูชาก็มีกลไกในการขับเคลื่อนในการช่วยเหลือในการปฏิบัติการปราบปรามต่าง ๆ และจะมีการขยายผลปราบปรามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ส่วนของตำรวจอาเซียน ก็จะมีการประชุมช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งประเด็นหลักที่มีการพูดถึงก็คือเรื่องการปราบรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันว่าคนที่ถูกหลอกในประเทศต่าง ๆ ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ไหนซึ่งจะช่วยให้ปรับได้ง่าย
ในส่วนของด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ระบุว่า ตามมาตรการ Seal Stop Safe ต้องลาดตระเวนตามจุดช่องทางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาชายแดนซึ่งปัญหาที่ใหญ่ การจัดการในการป้องกันประเทศจะต้องมีกำลังที่สอดคล้องกับปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอให้บูรณาการการทำงานตามแนวชายแดน ซึ่งทุกวันนี้กองกำลังป้องกันประเทศมีการบูรณาการในหน่วยความมั่นคง ทั้งทหารและตำรวจตามแนวชายแดน ส่วนที่เป็นของข้าราชการพลเรือนจะมีศูนย์สำคัญจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติราชการ เพราะฉะนั้น 2 เรื่องนี้จะต้องส่งผ่านข้อมูลกันทุกวันในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน
ทั้งนี้ ยังมีการสนับสนุนแนวของ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อช่วยกันในการปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นปัญหาของโลก
ส่วนจะต้องมีการปรับอะไรเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า ต้องหาว่าช่องทางธรรมชาติมีจุดใดบ้าง หากดูจากข่าว 2 – 3 วันที่ผ่านมามีการจับกุมผู้ที่ข้ามทางช่องทางธรรมชาติได้มากขึ้น และมีการวางสิ่งกีดขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดน