ทันตแพทย์หนุ่มเปิดใจ สูญเสียภรรยาและลูกในท้องแค่เพราะปวดท้อง ติดใจขั้นตอนการรักษาของ รพ.เอกชนชื่อดังในเชียงใหม่

35901

(มีคลิป Video) เปิดใจหนุ่มทันตแพทย์พร้อมครอบครัว หัวใจแทบสลายสูญเสียภรรยาและลูกในท้อง โพสต์ข้อความขอความเป็นธรรมติดใจการเสียชีวิต ยัน รพ.เอกชนชื่อดังในเชียงใหม่ ไม่แสดงความรับผิดชอบ พร้อมดำเนินคดี เตรียมยื่นเรื่องถึงแพทยสภา

ความคืบหน้ากรณี ทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ หวงสุวรรณากร อายุ 35 ปี ทันตแพทย์หนุ่มในจังหวัดเชียงใหม่ โพสต์ข้อความและเรื่องราวเรียกร้องความเป็นธรรมลงในโลกโซเชียล เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของภรรยาสาวคือ เภสัชกรหญิงวีร์ธิดา วัฒนสมบูรณ์ อายุ 35 ปี ที่ได้มีอาการป่วย ปวดท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน และได้เข้ารักษาตัวภายในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ทำการฉีดสารทึบรังสีเพื่อทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องส่วนล่าง แต่ปรากฏว่าเกิดอาการแพ้ จนอาการทรุดหนักและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทางเจ้าตัวได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของภรรยา พร้อมทั้งขอให้ทางโรงพยาบาลได้ออกมาชี้แจงและรับผิดชอบเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น แต่ทางผู้บริหารและทางโรงพยาบาลกลับไม่ได้ให้คำตอบ และไม่แสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้ทำให้ทางเจ้าตัวและครอบครัวต้องออกมาโพสต์เรื่องราวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จนกระทั่งมีผู้พบเห็นได้แชร์เรื่องราวออกไปกันเป็นจำนวนมากตามที่ปรากฏแล้วนั้น

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ช่วงเช้าวันนี้ (30 ก.ย.63) ทางด้าน ทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ หวงสุวรรณากร เจ้าของโพสต์ข้อความเรื่องราวดังกล่าว พร้อมครอบครัว คือบิดาและมารดา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยทาง ทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ ได้เปิดเผยว่า เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.ย.63 ที่ผ่านมา ซึ่งสืบเนื่องจากภรรยาของตนนั้นได้มีอาการปวดท้องมาประมาณ 2-3 วัน และเห็นว่าอาการหนักขึ้นตนจึงตัดสินใจจะพาภรรยาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและได้พาภรรยาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากตนและภรรยาอยากได้รับการรักษาที่ดี จึงเลือกโรงพยาบาลดังกล่าว โดยในช่วงเช้าตนได้ส่งภรรยาไปรับการตรวจซึ่งหลังจากภรรยาออกมาจากห้องตรวจแล้วนั้นก็ได้แจ้งกับตนว่าอาจจะเป็นนิ่วที่ไต และจะทำการส่งตัวไป “ซีทีสแกน” เพื่อตรวจเช็กอีกครั้ง และจะต้อง admit ตนกับภรรยาจึงได้กลับมาที่คอนโดเพื่อเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระ จากนั้นได้กลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งในช่วงเที่ยง เพื่อไป admit โดยช่วงที่รอหมอกับพยาบาลเข้ามาเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะตนก็บอกกับภรรยาว่าจะไปทำงานก่อน และแยกกับภรรยาในช่วงประมาณ 13.00 น. หลังจากนั้นเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันเดียวกัน ตนก็ได้รับโทรศัพท์ซึ่งเป็นแม่ของภรรยาโทรมาแจ้งว่า ให้ตนรีบโทรกลับไปที่โรงพยาบาลโดยด่วน เนื่องจากทราบว่าภรรยาต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ตนจึงได้รีบโทรติดต่อไปยังโรงพยาบาลและพยาบาลได้แจ้งว่าภรรยาต้องใส่เครื่องช่วยหายใจและได้ย้ายไปยังห้องฉุกเฉิน ตนจึงรีบเดินทางมายังโรงพยาบาล และพบว่าภรรยาอยู่ในห้องฉุกเฉิน ตนจึงได้สอบถามกับทางหมอซึ่งได้แจ้งกับตนว่า ภรรยาของตนมีอาการแพ้สารชนิดหนึ่งที่ใช้ในการย้อมสีเพื่อเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ทราบว่าอาการคงที่แล้ว ซึ่งตนก็ค่อยอุ่นใจขึ้น และหมอยังแจ้งว่าขณะนี้จะส่งตัวภรรยาไปที่ห้อง ไอซียู เพื่อดูอาการประมาณ 2 วัน ซึ่งตนคิดว่าไม่มีอะไร พร้อมทั้งได้โทรแจ้ง พ่อกับแม่ ให้มาช่วยอยู่เฝ้าภรรยาแทนเนื่องจากตนต้องไปติดต่อเดินเรื่องประกันสุขภาพให้กับภรรยา

จนกระทั่งต่อมาหลังจากที่ตนทำเรื่องติดต่อประกันและเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว ตนก็ได้ตามไปที่ห้อง ไอซียู แต่สิ่งที่ตนเห็นคือภรรยากำลังถูกปั๊มหัวใจอยู่ ตนถึงกับตกใจเพราะก่อนหน้านี้ตนคิดว่าภรรยาไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว และตนยังได้รับปากกับทาง พ่อและแม่ ของภรรยาว่าไม่ต้องกังวลและจะดูแลภรรยาเอง เนื่องจาก พ่อและแม่ของภรรยานั้นอยู่ที่ .พะเยา ไม่สามารถเดินทางมาได้ทัน โดยในช่วงที่ทางหมอและพยาบาลกำลังปั๊มหัวใจนั้นตนกับ พ่อและแม่ ก็ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องด้วยความเป็นห่วง ประกอบกับสับสนมากเนื่องจากก่อนหน้านี้ทางหมอได้แจ้งว่าอาการของภรรยาดีขึ้นแล้วและไม่ได้เป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าภรรยากำลังถูกปั๊มหัวใจอยู่ หลังจากที่มีการปั๊มหัวใจไป 1 รอบ ทางหมอได้ออกมาบอกกับตนว่าตอนนี้อาการน่าเป็นห่วงและกำลังพยายามช่วยชีวิตอยู่ แล้วจากนั้นก็ได้ทำการปั๊มหัวใจต่ออีกประมาณ 30 นาที ตนก็ได้เจอกับหมอเจ้าของไข้ที่ภรรยาไปตรวจครั้งแรกซึ่งได้ออกมาแจ้งตนกับครอบครัวว่าตอนทำ “ซีทีสแกน” ได้ตรวจเจอลักษณะของถุงน้ำ ซึ่งเป็นซีสต์ที่มีเลือดอยู่ข้างในแล้วแตกออกที่รังไข่และน่าจะเป็นอาการปวดที่ภรรยาเข้ามาทำการรักษา อีกทั้งยังแจ้งอีกว่ามีการตรวจพบถุงลักษณะที่เป็นตัวอ่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะตั้งครรภ์ พร้อมทั้งยังได้ส่งผลการตรวจปัสสาวะของภรรยาให้ตนดูเพื่อยืนยันว่ามีการตั้งครรภ์จริง อายุครรภ์ประมาณ 6-7 สัปดาห์

โดยหลังจากที่ตนทราบขณะนั้นตนก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ เนื่องจากตนกับภรรยาก็อยากจะมีลูกอยู่แล้ว และหลังจากที่หมอแจ้งรายงานเสร็จก็ได้เดินกลับเข้า ซึ่งขณะนั้นตนได้ขออนุญาตหมอเพื่อขอเข้าไปอยู่ในห้องกับภรรยา ตอนที่หมอจะเริ่มปั๊มหัวใจรอบที่ 3 และสภาพที่ตนเข้าไปเห็นคือภรรยาถูกปั๊มหัวใจ กดหน้าอกอัดกับเตียงจนหน้าอกม่วงช้ำ ตนเห็นภรรยาก็สงสารประกอบกับภรรยาของตนคงไม่ไหวแล้ว ตนจึงแจ้งกับหมอให้ช่วยตัดสินใจในการที่จะหยุดยื้อชีวิตภรรยาของตน เนื่องจากตนไม่กล้าที่จะตัดสินใจเองเพราะทำใจไม่ได้ จนสุดท้ายทางหมอก็ตัดสินใจยุติการ CPR และภรรยาก็เสียชีวิตในเวลาประมาณ 19.00 น. ของวันนั้น ซึ่งนับเวลาตนแยกกับภรรยาตอนประมาณ 13.00 น. แต่อีก 6 ชั่วโมงให้หลังตนกลับต้องไปพบภรรยาที่จากไปแล้ว หลังจากนั้นตนก็ได้รับศพภรรยาในวันถัดมาเพื่อนำร่างไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จากนั้นประมาณ 2-3 วันให้หลัง ก็มีน้องๆ ที่เป็นหมอก็เกิดประเด็นที่น่าสงสัย เนื่องจากตัวภรรยาของตนนั้นก็เป็นเภสัชกรรวมทั้งเพื่อนๆ ก็เป็นหมอ ก็ถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตของภรรยาตน ซึ่งตนก็อยากได้คำชี้แจงรวมไปถึงที่บ้านและครอบครัวก็ไม่สบายใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงได้เข้าไปพูดคุยกับทางผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลเพื่อขอให้ชี้แจงสาเหตุการเสียชีวิตของภรรยา รวมทั้งให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ว่าเกิดความผิดพลาดอย่างไร รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการชดเชยให้กับพ่อแม่ของภรรยาในการเสียชีวิตครั้งนี้ แต่สิ่งที่ตนได้ตอบรับคือทางโรงพยาบาลปฏิเสธและไม่ยอมรับ และระบุว่าทำถูกต้องแล้วตามมาตรฐานของการแพทย์

ทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่ตนได้รับทำให้ตนและครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ และพยายามพูดคุยกับทางโรงพยาบาล ซึ่งทางผู้บริหารได้แจ้งกับตนว่าขอเวลา 1 สัปดาห์เพื่อประชุมกันกับผู้บริหารอีกครั้ง ตนจึงรออีก 1 สัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ได้ไปคุยด้วยอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน สิ่งที่ได้รับเป็นคำตอบเดิม คือ “ไม่มีการรับผิดชอบใดๆ เนื่องจากทำถูกต้องแล้วตามมาตรฐานของการแพทย์” ทำให้ตนรู้สึกเสียใจมาก เพราะการที่ตนเลือกโรงพยาบาลแห่งนี้เพราะเชื่อมั่นในโรงพยาบาลว่าจะดูแลคนไข้ได้ดี ประกอบกับตนก็เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ตนเชื่อว่าไม่มีใครที่อยากจะรักษาผิดพลาดแต่บางครั้งมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่ตนอยากให้ทำคือการแสดงความรับผิดชอบ ผิดก็ต้องยอมรับผิด หรืออาจจะแสดงความรับผิดชอบหรือแสดงความเห็นใจ แต่สิ่งที่ตนได้รับคือ ความรู้สึกเฉยชาและปัดความรับผิดชอบ ซึ่งตลอดระยะเวลาการจัดพิธีศพ ทางตนและครอบครัวก็ไม่ได้รับการติดต่อจากทางโรงพยาบาล หากตนไม่ติดต่อไปก็ไม่ทำอะไร และทางโรงพยาบาลก็ส่งพวงหรีดมาเพียง 2 พวง ตนจึงรู้สึกเสียใจมากเพราะชีวิตคู่กำลังจะไปได้ดี ตนกับภรรยาก็วางแผนชีวิต เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว และวางแผนจะมีลูกด้วยกัน แต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับพังทลายหายไปในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง และตอนนี้ตนก็รู้สึกว่าหัวใจสลายและเกิดมาก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ และสิ่งที่ตนออกมาเรียกร้องครั้งนี้ก็เพื่อภรรยาและลูกในท้อง รวมทั้งเป็นตัวแทนให้ พ่อกับแม่ของภรรยาด้วย

อย่างไรก็ตามจากกรณีที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ตนก็ไม่ได้อยากฟ้องร้อง เรียกร้องอะไร จึงได้รอมาเป็นสัปดาห์หลังเกิดเรื่อง และไม่ได้นำร่างภรรยาของตนกลับมา เพียงเพราะรอคำตอบจากทางโรงพยาบาล แต่พอได้คำตอบ อีกทั้งยังพูดอีกว่า ทำเพื่อศักดิ์ศรีวิชาชีพแพทย์ พอตนได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกจุกอก เนื่องจากไม่คิดว่าจะได้ยินเช่นนี้ และคิดว่าหากไม่ได้ทำผิดก็เพียงแค่ออกมาชี้แจง หรือมีข้อผิดพลาดตรงไหนก็แค่แจ้งให้ทราบ รวมทั้งหากจะขอโทษหรือรับผิดชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มาพูดแบบนี้ตนกับครอบครัวก็ตกลงกับว่าอาจจะต้องไปดำเนินคดีเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของภรรยานั้นทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่าเป็นภาวะน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากการที่ภรรยาแพ้ตัวสารย้อมสี แต่ประเด็นที่ตนขอคำชี้แจงคือมันมีหลายจุดที่น่าสงสัยตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย ตั้งแต่ครั้งแรกที่ภรรยาเข้าไป ไปจนถึงการช่วยเหลือในระหว่างที่ภรรยาเกิดอาการช็อกจากการแพ้ยาดังกล่าว ประกอบกับการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลซึ่งตนในส่วนตัวที่ทำงานมาก็พบได้น้อยมาก จากการเสียชีวิตภายในโรงพยาบาลตนจึงอยากให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีขั้นตอนไหนที่เกิดข้อผิดพลาด หรือมีปัญหาอะไรเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยคนอื่นๆ ต่อไป โดยหลังจากนี้ตนและครอบครัวจะมีการทำหนังสือเพื่อนำไปยืนต่อแพทยสภา ในวันจันทร์หรือวันอังคารหน้า เพื่อเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือดำเนินการให้ได้รับความเป็นธรรมต่อไป

ขณะที่ทางด้าน บิดาและมารดาของทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของครอบครัวที่เกิดขึ้นกับลูกและหลานในท้อง เพียงระยะเวลาอันสั้นเพียง 5-6 ชั่วโมง ทั้งที่เดินเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล ที่มีอาการเกือบจะปกติ ซึ่งทางครอบครัวหลังทราบว่าภรรยาของลูกชายตั้งท้องก็รู้สึกดีใจ แต่กลับกลายมาเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ประกอบกับทางหมอก็ไม่ออกมารับผิดชอบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้ทางครอบครัวก็มองว่าเป็นเรื่องที่สะเทือนใจมาก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดับฝันทั้งหมดเพียงคืนเดียว จนรู้สึกสะเทือนใจและทุกคนก็เสียใจ และคนที่เสียใจที่สุดคือลูกชายที่ตอนนี้เหมือนตายทั้งเป็น ซึ่งสังเกตได้ว่าลูกชายตื่นเช้ามาร้องไห้ กลางวันร้องไห้ มันเป็นอันกินอันนอน ทำงานหรือใช้ชีวิตไม่เป็นปกติ จึงอยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ได้รับความเป็นธรรม เพราะจะช่วยให้ลูกชายและครอบครัวเกิดความสบายใจขึ้น

blankblankblank