ชาวบ้านวิสาหกิจชุมชน ต.ไชยสถาน อ.สารภี หอบหลักฐานร้องศูนย์ดำรงธรรม ถูกโกงเงินฌาปนกิจ หลังส่งเงินสมาชิกมา 10 กว่าปี จะจ่ายคืนแค่เงินเดือนสุดท้ายรายละ 250 บาท อ้างประธานฯ เสียชีวิตจึงล้มเลิก แถมไม่คืนเงินที่ส่งก่อนหน้านี้
วันที่ 12 ม.ค. 65เวลา 10.30 น. ที่บริเวณศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มชาวบ้านและวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกพริก ม.7 ต.ไชยสถาน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นำโดย นายณรงค์ อุปพันธ์ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลไชยสถาน ได้เดินทางนำหลักเอกสารฐานเข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ดำรงธรรม จากกรณีที่ทางลูกบ้านได้รับความเดือดร้อนจากการที่ได้มีการก่อตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กลุ่มผู้ปลูกพริก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 และมีการรวมกลุ่มสมาชิกซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านประมาณ 150 คน มีการเรียกเก็บเงินสมาชิก อายุต่ำกว่า 50 ปี เดือนละ 150 บาท และอายุ 50 ปีขึ้นไป เดือนละ 250 บาท โดยเมื่อสมาชิกเสียชีวิตจะมีเงินค่าทำศพให้รายละ 100,000 บาท
จนกระทั่งล่าสุด ทางประธานวิสาหกิจดังกล่าว ได้เสียชีวิตไปเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา แต่ทางเลขาประธานได้แจ้งกับสมาชิกว่าทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกพริก ที่ก่อตั้งมานั้นได้ล้มเลิกแล้ว และจะคืนเงินที่สมาชิกจ่ายมาเพียงเดือนสุดท้าย คือเดือนพฤศจิกายน 2564 จำนวนรายละ 250 บาทเท่านั้น ส่วนเงินที่ส่งมาประมาณ 10 กว่าปี คิดเป็นเงินรายละประมาณ 40,000 บาทนั้น จะไม่ขอจ่ายเนื่องจากประธานวิสาหกิจนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว และไม่ทราบว่าเงินไปอยู่ที่ไหน ส่งผลทำให้ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจดังกล่าวไม่ได้รับเงินที่ควรจะได้คืน และขอให้ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้อีกทางหนึ่ง
โดยทาง นายณรงค์ อุปพันธ์ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลไชยสถาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากตนได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ม.7 ต.ไชยสถาน อ.สารภี เกี่ยวกับการจ่ายเงินสมาคมฌาปนกิจของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกพริกบ้านเชียงขาง ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 จนถึงในขณะนี้ แต่ล่าสุดผู้เป็นประธานของวิสาหกิจชุมชนได้เสียชีวิตลง และผู้ที่ไปเก็บเงินกับกลุ่มสมาชิกก็ได้แจ้งว่าทางวิสาหกิจชุมชนดังกล่าวล้มเลิกแล้ว และเมื่อสอบถามทราบว่าทางวิสาหกิจชุมชนนั้นได้ส่งเงินให้กับ ธกส. แต่ทางชาวบ้านได้ไปติดต่อทาง ธกส.แล้ว แต่กลับทราบว่าไม่ได้มีการจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กับทาง ธกส. แต่อย่างใด ทางชาวบ้านจึงได้รวมตัวนำหลักฐานเข้ามาร้องเรียนกับทางศูนย์ดำรงธรรมเพื่อให้มีการตรวจสอบว่าการเก็บเงินกับทางสมาชิกไปประมาณ 10 กว่าปีนั้นเงินไปอยู่ที่ไหน และจะสามารถนำคืนมาได้หรือไม่
สมาชิกสภาเทศบาลตำบลไชยสถาน บอกอีกว่า ทั้งนี้ที่ผ่านมาสมัยที่มีการก่อตั้งสมาคมในช่วงแรกๆ นั้นมีสมาชิกที่เสียชีวิตและได้รับเงินช่วยเหลือจากทางสมาคมจริงรายละ 100,000 บาท แต่จากที่ตนได้ข้อมูลจากชาวบ้านทราบว่า ที่ผ่านมาได้มีการจ่ายให้กับสมาชิกประมาณ 10 กว่าศพตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา และศพสุดท้ายที่เสียชีวิตจากการฆาตกรรมตัวเองทางสมาคมก็ได้จ่ายให้ไปเพียง 5,000 บาท โดยแจ้งว่าผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวเสียชีวิตโดยการฆาตกรรมตังเอง ชาวบ้านก็ไม่ได้ติดใจสงสัยเรื่องการจ่ายเงิน เนื่องจากมีความไว้วางใจต่อประธาน โดยวงเงินที่ทราบจากสมาชิกบอกว่าส่งเดือนละ 250 บาท/คน ซึ่ง 1 ปี ก็จะอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท และ 10 กว่าปีก็อยู่ที่ประมาณ 40,000 กว่าบาท/คน ซึ่งทั้งหมดตอนก่อตั้งช่วงแรกมีประมาณ 100 กว่าคน แต่ก็มีที่ลาออกไปและทราบว่าปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ประมาณ 50 คน แต่ได้เงินที่ส่งไปเพียง 250 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ส่งเดือนสุดท้ายเพียงเท่านั้น
ทางด้าน นายไกรศรี ยานจันทร์ อายุ 57 ปี หนึ่งในสมาชิกวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับผลกระทบ บอกว่า ตนได้เริ่มจ่ายเงินค่าสมาชิกมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประมาณปี พ.ศ.2551 เพราะแจ้งหากเสียชีวิตก็จะได้เงินช่วยเหลือ 100,000 บาท แต่เมื่อทางประธานวิสาหกิจชุมชน ได้เสียชีวิตไปก่อน และบอกเพียงว่าจะได้เงินที่จ่ายให้ล่าสุดเพียง 250 บาท ทำให้ตนสงสัยว่าที่ผ่านมาเงินที่จ่ายไปนั้นไปอยู่กับใคร และจะได้คืนหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาตนจ่ายเงินดังกล่าวต่อเนื่องทุกเดือนไม่เคยขาด เช่นเดียวกับชาวบ้านรายอื่นๆ เพราะมีความหวังว่าจะได้เงินช่วยเหลือฌาปนกิจตามที่ได้แจ้งไว้ แต่เมื่อไปพูดคุยกับทางกลุ่มคณะกรรมการก็ปัดความรับผิดชอบให้ทางประธานวิสาหกิจที่เสียชีวิตไปแล้ว ตนจึงไม่รู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อจึงได้หารือกับสมาชิกคนอื่นและรวมตัวมาร้องเรียนในครั้งนี้
ขณะที่ทางด้าน นางศิริพร รับปัญญา อายุ 66 ปี บอกว่า ตนได้นำโฉนดไปค้ำประกันหลักทรัพย์ให้กับทางคณะกรรมการ เนื่องจากตนได้ทำเรื่องขอกู้เงิน แต่จะต้องนำหลักทรัพย์ไปค้ำประกัน เพื่อให้สามารถกู้ได้ และต่อมาตนก็ได้ไปผ่อนกับแบงก์ และได้มีการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ ตนก็จึงไปประนอมหนี้กับแบงก์และส่งเงินให้กับแบงก์ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งมาทราบว่าชื่อที่ค้ำประกันนั้นเป็นชื่อของประธานวิสาหกิจเพียงคนเดียว ไม่ใช่ชื่อกลุ่มชื่อกลุ่มคณะกรรมการทั้ง 11 คน และตนก็ส่งมาหลายปี ตามข้อกำหนดที่ก่อนหน้านี้ส่งเดือนละ 3,500 บาท โดยทางตนกับผู้กู้อีก 2 คน มีการกู้ร่วมกัน และมีผู้เสียชีวิตไปทำให้ตนต้องมาจ่ายเงินแทนผู้กู้อีกรายทุกเดือน เดือนละ 2,200 บาท โดยที่โฉนดของตนต้องเป็นชื่อของคนอื่น จึงได้นำหลักฐานมาขอให้ทางศูนย์ดำรงธรรมช่วยเหลืออีกเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการยื่นเรื่องให้ทางเจ้าหน้าที่ตัวแทนของศูนย์ดำรงธรรมแล้วนั้น เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการรับเรื่องดังกล่าวจากกลุ่มชาวบ้านไว้แล้ว พร้อมทั้งแจ้งว่าจะดำเนินการสรุปข้อมูล และสั่งการเบื้องต้นขอให้ทางอำเภอดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อรับทราบข้อมูล จากนั้นหากมีแนวทางสามารถแก้ไขในพื้นที่ได้ก็จะให้ทางอำเภอดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่หากมีความซับซ้อนเกินกว่าระดับอำเภอ ทางศูนย์ดำรงธรรมก็จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาให้ต่อไป