17 ก.ย. 68 – สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า รายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 สรุปว่า สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 พบว่า จํานวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.89 ของ ประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41 และเส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน โดยคนจนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 45.49 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของภาคเกษตรต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สถานการณ์นี้ ชี้ให้เห็นถึงลักษณะพลวัตของความยากจนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงผลกระทบจากภัยธรรมชาติ แม้การเพิ่มขึ้นของคนจนในปีนี้อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวแต่ก็เป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากพิจารณาในกลุ่มคนเปราะบางต่อความยากจน พบว่า จํานวนคนจนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง โดยกลุ่มคนจนมากเพิ่มขึ้นเป็น 8.79 แสนคน และกลุ่มคนจนน้อยเพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน ประชากรที่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลยังคงมีสัดส่วนความยากจนสูงกว่าประชากร ในเขตเทศบาลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งเผชิญกับปัญหาความยากจนยืดเยื้อมายาวนาน
ในด้านการศึกษา พบว่า ประชากรที่มีระดับการศึกษาต่ำเป็นกลุ่มที่เผชิญกับปัญหาความยากจน มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีสัดส่วนคนจนสูงถึงร้อยละ 14.21 สัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้ม ลดลงตามระดับการศึกษาที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสําคัญของการศึกษาในการลดความยากจน ในด้านการเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐ พบว่า คนจนร้อยละ 97.49 สามารถเข้าถึงสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล อย่างน้อยหนึ่งรูปแบบ โดยสิทธิที่ได้รับมากที่สุดคือสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คิดเป็นร้อยละ 89.00 นอกจากนี้ สัดส่วนผู้สูงอายุยากจนที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้น จากร้อยละ 94.19 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 97.01 ในปี 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนากระบวนการค้นหาและขึ้นทะเบียน ผู้สูงอายุที่ยังตกหล่น ขณะเดียวกัน สัดส่วนคนพิการยากจนที่ได้รับเบี้ยความพิการก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ จากร้อยละ 73.85 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 87.45 ในปี 2567 ในด้านการเข้าถึงบริการพื้นฐานโดยรวมมี ทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยครัวเรือนยากจนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงน้ำประปา โทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบสมาร์ตโฟน และสัญญาณอินเทอร์เน็ต มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 18.98 ร้อยละ 20.46 และร้อยละ 25.18 ตามลําดับ
ประเทศไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ โดยความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายยังคงอยู่ในระดับทรงตัว แม้ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคด้านรายจ่ายจะปรับลดลงเล็กน้อยจาก 0.335 ในปี 2566 มาอยู่ที่ 0.333 ในปี 2567 ทั้งนี้ ประชากรกลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำเริ่มมีส่วนแบ่งการใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น แต่โครงสร้างการใช้จ่ายยังคงเน้นไปที่สินค้าที่จําเป็นต่อการดํารงชีพ โดยกลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำสุดร้อยละ 20 (Decile 1 และ 2) ใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่กลุ่มที่มี รายจ่ายสูงสุดร้อยละ 10 (Decile 10) มีแนวโน้มใช้จ่ายไปกับสินค้าและบริการที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานมากกว่า
นอกจากความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายแล้ว ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำในมิติการศึกษา แม้อัตราการเข้าเรียนสุทธิในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น และช่องว่างระหว่างกลุ่มเศรษฐฐานะสูงสุดกับต่ำสุดลดลง แต่เด็กจากครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดยังคงมีอัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอุดมศึกษาต่ำกว่ากลุ่มเศรษฐฐานะสูงสุดอย่างมีนัยสําคัญ โดยครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะสูงสุดมีค่าใช้จ่าย ด้านการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดถึง 8.16 เท่า ขณะเดียวกันคุณภาพการศึกษายัง สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่เชื่อมโยงกับสังกัดโรงเรียน ขนาดโรงเรียน และเศรษฐฐานะของครัวเรือน โดยนักเรียนในโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โรงเรียนที่มีขนาดใหญ่และขนาด ใหญ่พิเศษ รวมทั้งนักเรียนในครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะสูงกว่า มักมีผลการทดสอบ O-NET สูงกว่าอย่างชัดเจน ในมิติสาธารณสุข แม้ประชากรไทยเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 99.73) สามารถเข้าถึงสิทธิหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้า แต่ยังคงพบความเหลื่อมล้ำในการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือที่ ทันสมัย โดยกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่มีสัดส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ ประเทศอย่างชัดเจน
ในมิติการเข้าถึงสวัสดิการและบริการภาครัฐ พบว่า กลุ่มเปราะบางหลายกลุ่มมีอัตราการเข้าถึงสิทธิ ปรับตัวดีขึ้น เด็กแรกเกิดในครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ําสุดร้อยละ 40 (Bottom 40) ได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้น อยู่ที่สัดส่วนร้อยละ 65.65 สูงกว่ากลุ่มที่มีเศรษฐฐานะปานกลาง (Middle 50) และเศรษฐฐานะสูง (Top 10) สัดส่วนผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุด (Decile 1) มีสัดส่วน การเข้าถึงสิทธิสูงถึงร้อยละ 97.21 และสัดส่วนคนพิการที่ได้รับเบี้ยความพิการโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 81.38 อย่างไรก็ดี ในกรณีความช่วยเหลือทางกฎหมายจากกองทุนยุติธรรม พบว่า ประชาชนที่มีรายได้น้อย ได้รับความช่วยเหลือลดลง แม้จํานวนผู้ยื่นคําขอจะเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงข้อจํากัดของกระบวนการพิจารณาที่ควร ได้รับการปรับปรุง