เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 65 สำนักข่าวต่างประเทศ CNN รายงานว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยุโรปได้เผชิญกับคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งแตะระดับ 40°C ทางด้านผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในช่วงเวลาเดียวกัน อีกภูมิภาคหนึ่งก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า สภาพอากาศที่สูงขึ้นในภาคเหนือของกรีนแลนด์ ทำให้น้ำแข็งเกิดการละลายอย่างรวดเร็ว โดยละลายกลายเป็นแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
ในช่วงวันที่ 15-17 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา อุณหภูมิของกรีนแลนด์ได้พุ่งไปสูงถึง 15 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าปกติถึง 5 องศาเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ ทำให้ปริมาณน้ำแข็งที่ละลายในกรีนแลนด์ สูงถึง “6 พันล้านตันต่อวัน” ซึ่งเพียงพอที่จะเติมสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิกได้ถึง 7.2 ล้านสระ ตามข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติสหรัฐ หรือเทียบเท่ากับพื้นที่ของรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ประมาณ 62,259 ตร.กม.
ทุกครั้งในฤดูร้อน นักวิทยาศาสตร์จะกังวลว่า พวกเขาจะเห็นการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์มากน้อยเพียงใด โดยสถิติการละลายมากที่สุดเกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อน้ำแข็งจำนวน 5.32 แสนล้านตันไหลลงสู่ทะเล จากคลื่นความร้อนในเดือน ก.ค. ในปีนั้น ทำให้พื้นผิวของแผ่นน้ำแข็งละลายเกือบทั้งหมด ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 มิลลิเมตร
ก่อนหน้านี้มีการประเมินว่า หากน้ำแข็งบนกรีนแลนด์ละลายทั้งหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 7.5 เมตรทั่วโลก
ในปี 2020 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอพบว่า ไม่มีความพยายามใดที่จะหยุดยั้งภาวะโลกร้อนได้ อัตราการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นสูงกว่าทุกสิ่งที่กรีนแลนด์เคยประสบในช่วง 12,000 ปีที่ผ่านมา
เรียบเรียงจาก CNN