“วันปัสสาวะรดที่นอนโลก” (World Bedwetting Day) 31 พฤษภาคม 2565

150

“วันปัสสาวะรดที่นอนโลก” (World Bedwetting Day) 31 พฤษภาคม 2565

?สมาคมควบคุมระบบขับถ่ายปัสสาวะเด็กนานาชาติ (ICCS) และสมาคมศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะเด็กแห่งทวีปยุโรป (ESPU) ได้กำหนดให้วันอังคาร สัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันปัสสาวะรดที่นอนโลก ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไป ได้รู้จัก เข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญต่อการรักษาภาวะปัสสาวะรดที่นอนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสม

?การปัสสาวะรดที่นอน หรือไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ในเด็กในขณะนอนหลับ แต่เดิมมีความเข้าใจที่ผิดว่าเป็นเรื่องแกล้งทำ หรือเป็นการทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ปัจจุบันทางด้านการแพทย์นั้นพบว่าเป็นโรคที่มีสาเหตุชัดเจน และควรได้รับการรักษา

?ปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะที่พบบ่อยในวัยเด็ก ซึ่งจะถือว่าเป็นความผิดปกติในกรณีที่เกิดขึ้นในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หากพบว่ามีการปัสสาวะรดที่นอนบ่อยครั้ง อย่างน้อยตั้งแต่ 2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ จะถือว่ามีปัญหา ในเด็ก100 คนพบว่ามีถึง15 คนที่มีอาการของปัสสาวะรดที่นอน และส่วนมากอาการจะลดลงและหายเองเมื่อโตขึ้น แต่จะมีเพียง1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในกลุ่มนี้เรียกว่าเป็นการปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นหากพบว่าบุตรหลานของท่านยังมีอาการปัสสาวะรดที่นอน จนถึงอายุ 6-7 ขวบแล้ว ควรพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์คัดกรองอาการ และตรวจวินิจฉัยโรคต่อไป

?สาเหตุภาวะปัสสาวะรดที่นอนในเด็กแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

1.ส่วนสมอง
มีการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ หลับตื้น ปลุกได้ยาก
2. ส่วนของไต
ผลิตน้ำปัสสาวะเยอะผิดปกติในตอนกลางคืน
3. ส่วนของกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะ บีบตัวไวเกิน ทำให้ปัสสาวะรดที่นอน ทั้งๆ ที่ยังไม่เต็มกระเพาะปัสสาวะ
4.ในเด็กที่มีภาวะท้องผูก
ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะรดที่นอนได้

?ภาวะปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก ส่งผลกระทบต่างๆ ตามมามากมาย เช่น ปัญหาครอบครัวทั้งในด้านจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ปกครอง ภาวะซึมเศร้า ขาดสมาธิในการเรียน การเข้าสังคม ทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก

สำหรับผู้ปกครองควรมองว่าปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่มีสาเหตุจากทางร่างกาย ดังที่กล่าวมาแล้ว จึงไม่ควรลงโทษหรือตำหนิ แต่ควรแสดงความเข้าใจ และเป็นกำลังใจ รวมถึงการปรับพฤติกรรมร่วมกันในครอบครัวก่อน โดยเฉพาะช่วง 2 ชม. ก่อนเข้านอนควรมีการจำกัดปริมาณน้ำ หรือการดื่มนม ซึ่งจะทำให้เด็กมีโอกาสเกิดปัสสาวะรดที่นอนได้มากขึ้น ควรปัสสาวะก่อนนอนทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้ปกครองมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยได้ โดยแพทย์อาจให้ผู้ปกครองจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของบุตรหลาน เช่น ปริมาณของน้ำที่ดื่ม จำนวนครั้งที่ปัสสาวะในแต่ละวัน จำนวนครั้งของการปัสสาวะรดที่นอนในแต่ละคืนหรือในแต่ละสัปดาห์

?อย่างไรก็ตามเมื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาแล้ว อาการของเด็กยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป

ข้อมูลโดย รศ.นพ.พิษณุ มหาวงศ์ อาจารย์ประจำหน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เรียบเรียง : นส.ธัญญลักษณ์ สดสวย
ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่