ตร.ภาค 5 รวบแก๊งไต้หวันร่วมคนไทย ส่ง SMS อ้างเป็นธนาคารหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว-รหัส OTP ดูดเงินออกจากบัญชี

1391

ตร.ภาค 5 รวบแก๊งไต้หวันร่วมคนไทย ส่ง SMS อ้างเป็นธนาคารหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว-รหัส OTP ดูดเงินออกจากบัญชี พบผู้เสียหายกว่า 21 ราย มูลค่ากว่า 429,180 บาท

     วันที่ 25 มกราคม 2564 ตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. สืบสวน ปรามปราบ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งพบว่า ปัจจุบันมีผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงเอาข้อมูลทางการเงินไปลงแอพพลิเคชั่น (SCB EASY) แล้วโอนเงิน ของผู้เสียหายออกจากบัญชีธนาคารเป็นจํานวนมาก พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศปอส.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงค์สุข ผบช.ภ.5 สืบสวนติดตามกลุ่มคนร้ายดังกล่าว ต่อมา พล.ต.ท.ประจวบ วงค์สุข ผบช.ภ.5 จึงได้มอบหมายให้ ศปอส.ภ.5 สืบสวนติดตามกลุ่มคนร้ายที่ได้ตระเวน ถอนเงินในพื้นที่ของตํารวจภูธรภาค 5 ซึ่งทาง ศปอส.ภ.5 ร่วมกับ สน.สายไหม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ทําการสืบสวน ติดตามกลุ่มคนร้าย จนทราบพฤติการณ์ของคนร้าย กลุ่มนี้ว่ามีการส่งข้อความ (SMS) ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเข้าไปที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งข้อความดังกล่าวจะมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นข้อความมาจากธนาคารไทยพาณิชย์และให้ ประชาชนกดเข้าไปเพื่ออัปเกรดแอพพลิเคชั่นโอนเงินออนไลน์ เมื่อผู้เสียหายกดเข้าไปที่ลิงค์จะปรากฎหน้า เว็บไซต์ที่มีลักษณะให้กรอกข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลทางการเงิน และรหัสผ่านแอพพลิเคชั่น จากนั้นกลุ่มคนร้าย จะนําข้อมูลของผู้เสียหายไปทําการลงทะเบียนแอพพลิเคชัน SCB Easy อีกอัน ระหว่างนั้นจะมีข้อความรหัส รักษาความปลอดภัย OTP ของธนาคารแจ้งไปยังเครื่องผู้เสียหาย เพื่อยืนยันว่าต้องการลงแอพพลิเคชั่นใหม่ หรือเพิ่มอีก 1 อัน ซึ่งหากผู้เสียหายไม่ได้อ่านข้อความหรือดูให้แน่ใจ หลงเชื่อนํารหัส OTP ดังกล่าวไปกรอก ที่หน้าเว็บไซต์ที่คนร้ายทําไว้ เพราะเข้าใจว่าเป็นกระบวนการอัปเกรดแอพพลิเคชั่นจริง จากนั้นคนร้ายจะสามารถใช้แอพพลิเคชั่นบัญชีธนาคารของผู้เสียหายได้ พร้อมกับรู้รหัสแอปพลิเคชั่น SCB Easy ของผู้เสียหายทุกอย่าง และทําการโอนเงินของผู้เสียหายออกจากบัญชี เพื่อส่งต่อให้กับผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ ที่แบ่งหน้าที่กันทํา

ศปอส.ภ.5 ได้ทําการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายในคดีนี้ คือ นายวราวุธ อายุ 20 ปี ที่อยู่ ต.เวียงใต้ อ.ปาย จว.แม่ฮ่องสอน และ นายพรสวรรค์ อายุ 19 ปี ที่อยู่ ต.สบป่อง อ.ปางมะผ้า จว.แม่ฮ่องสอน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน นําส่งพนักงานสอบสวน สน.สายไหม เพื่อขออนุมัติ หมายจับศาลอาญาที่ 1908/2563 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 63 และ ที่ 1912/2563 ลงวันที่ 23 ธ.ค. 63 ข้อหาร่วมกันนําเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ ประชาชน, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น

จากนั้น เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 63 เจ้าหน้าที่ ศปอส.ภ.5 ได้จับกุม นายวราวุธ และวันที่ 23 ธ.ค. 63 จับกุม นายพรสวรรค์ ผู้ต้องหาทั้งสองได้ตามหมายจับ และให้การรับสารภาพว่าเป็น เจ้าของบัญชีและทําหน้าที่ถอนเงิน โดยได้รับการชักชวนว่าจ้างจาก นายเป่าฉาง หรือเปา แซ่หลู่ ให้นําบัญชี ของตนมาใช้ในการรับโอนเงิน และทําหน้าที่กดเงินเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ ศปอส.ภ.5 จึงทําการสืบสวนขยายผล จนทราบข้อมูลของผู้ว่าจ้างได้อีก 2 คน คือ นายเป่าฉาง อายุ 23 ปี เชื้อชาติและสัญชาติไทย ที่อยู่ ต.เวียงใต้ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และ นาย ยู เชา เหว่ย อายุ 36 ปี เเชื้อชาติและสัญชาติไต้หวัน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน นําส่ง พนักงานสอบสวน สน.สายไหม เพื่อขออนุมัติหมายจับศาลอาญาข้อหาร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ฉ้อโกงโดย แสดงตนเป็นคนอื่น

ต่อมา วันที่ 24 ม.ค. 64 เวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ ศปอส.ภ.5 ได้จับกุมผู้ต้องหา คือ นายเป่าฉาง แซ่หลู่ บริเวณวัดสันจองปาย หมู่ 6 ต.เวียงใต้ อ.ปาย จว.แม่ฮ่องสอน และเวลา 17.00 น. ได้จับกุม นาย ยู เชา เหว่ย (YU CHAO WEI) ได้ที่บริเวณถนนแม่มาลัย-ปาย ต.แม่มาลัย อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ หลังจับกุม นายเป่าฉาง ให้การรับสารภาพว่า ได้รับว่าจ้างจากนายยู เชา เหว่ย ให้จัดหา บัญชีธนาคารมารับโอนเงิน และหาคนถอนเงินสด เพื่อจะนําเงินมาให้นายยู เชา เหว่ย โดยได้รับค่าจ้าง 10% ส่วน นาย ยู เชา เหว่ย ให้การรับสารภาพว่าได้รับคําสั่งจากหัวหน้าชาวไต้หวัน ให้ประสานหาบัญชีธนาคาร และหาคนถอนเงิน เพื่อนําเงินส่งต่อกลับไปยังหัวหน้าชาวไต้หวัน ที่อยู่ประเทศไต้หวัน และนาย ยู เชา เหว่ย ได้รับค่าจ้าง ๑๐ % จากเงินที่ถอนมาได้ โดยเริ่มทําตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย.63 – ปัจจุบัน มีผู้เสียหาย ทั่วประเทศ จํานวน 21 ราย มูลค่าความเสียหาย ประมาณ 429,180 บาท ในส่วนของพื้นที่ ภ.5 มีผู้เสียหายร้องทุกข์ จํานวน 2 คดี คือ สภ.แม่ปิง จว.เชียงใหม่ และ สภ.บ้านดู่ จว.เชียงราย ซึ่งทาง เจ้าหน้าที่ตํารวจจะได้ทําการขยายผลและดําเนินการออกหมายจับชาวบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป จากการตรวจสอบ พบว่า นาย ยู เชา เหว่ย ยังมีความสัมพันธ์กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2560 ซึ่งจะได้ตรวจสอบส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป