ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิกนอกภาคผนวกที่ 1 (Non-Annex I) ของ UNFCCC มีพันธกรณีในการจัดทำและจัดส่งรายงานแห่งชาติ (National communication: NC) และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี (Biennial Update Report: BUR) ต่อสำนักเลขาธิการ UNFCCC และเป็นภาคีสมาชิกของความตกลงปารีส ซึ่งกำหนดให้จัดส่งรายงานความโปร่งใสรายสองปี (Biennial Transparency Report: BTR) สำหรับรายงาน BUR ฉบับที่ 4 ของประเทศไทย ได้จัดส่งต่อ UNFCCC เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงข้อมูล การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิในภาพรวมของประเทศไทย (เมื่อรวมสาขาป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือ LULUCF ซึ่งเป็นสาขาที่มีการดูดซับก๊าซเรือนกระจก) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิที่ 280,728.34 กิกะกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (GgCO2eq) หรือประมาณ 280.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) คิดเป็นประมาณ 0.7% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลก
และภายในปี ค.ศ. 2065 ประเทศไทยต้องบรรลุเป้าหมาย Net Zero ให้ได้ แต่ทว่าการลดก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หลักของประเทศ อบก. จึงมีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero GHG Emission ของประเทศภายในปี ค.ศ. 2065 ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566-2567 อบก. ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมมือกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) 76 จังหวัด ในการจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของจังหวัดจนเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 76 จังหวัด พร้อมทั้งยังได้ขยายผลให้จังหวัดมีการตั้งเป้าหมาย Net Zero GHG Emission เพิ่มอีก 15 จังหวัด ในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งจะทำให้ในปัจจุบันมีจังหวัดที่มีเป้าหมาย Net Zero GHG Emission แล้วรวมทั้งหมด 32 จังหวัด
จากรายงานสรุปผลข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ 77 จังหวัด พบว่ามี 5 จังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในประเทศไทย และมี 5 จังหวัดที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดหรือบรรลุ Net Zero แล้ว ได้แก่
5 จังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในประเทศไทย
อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร ใช้ปีฐานพ.ศ. 2556 (ภายใต้โครงการพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด) มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 40 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y) ซึ่ง กทม. มีประชากรกว่า 5.4 ล้านคน และหากรวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยอีกรวมกว่า 10 ล้านคน ส่งผลให้เกิดการผลิตและบริโภคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดมาจากภาคพลังงานและการขนส่ง เกินกว่า 80% ของการปล่อยทั้งหมด
อันดับ 2 ชลบุรี จังหวัดศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ชลบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดหัวใจของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีนิคมอุตสาหกรรมหนาแน่น มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 3 สระบุรี เมืองแห่ง “โรงปูน” ของประเทศ มีแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งใช้พลังงานมหาศาลในการเผาหินปูน นับเป็นกระบวนการที่ปล่อย CO₂ โดยตรงจากกระบวนการผลิตและปฏิกิริยาเคมี (Process emissions) และจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 4 ระยอง อาณาจักรปิโตรเคมีของไทย ระยองเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งมีโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ และโรงงานเคมีขนาดใหญ่ ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงและสารเคมีเข้มข้นสูง มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 18 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 5 สมุทรปราการ เมืองอุตสาหกรรมหนักแนวชายฝั่ง จังหวัดสมุทรปราการมีความหลากหลายของอุตสาหกรรม ตั้งแต่เหล็กกล้า อิเล็กทรอนิกส์ จนถึงโรงงานเคมีจำนวนมาก อีกทั้งยังใกล้กรุงเทพฯ จึงมีทั้งโรงงานและประชากรอาศัยหนาแน่น การขนส่ง การใช้พลังงานในอาคาร และการจราจร ล้วนเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมาก มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
5 จังหวัดที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดหรือบรรลุ Net Zero แล้ว
1. จังหวัดเพชรบุรี ผืนป่าแก่งกระจานกับบทบาทกักเก็บคาร์บอน เพชรบุรีมีพื้นที่ป่าราว 64% ของพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะป่าแก่งกระจานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรรมชาติ “กลุ่มป่าแก่งกระจาน” ครอบคลุมกว่า 2.4 ล้านไร่ ทำหน้าที่เป็น “ปอดของประเทศ” โดยคาดการณ์ว่าสามารถดูดซับและกักเก็บ CO₂ ได้มากถึง 16.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
2. จังหวัดกาญจนบุรี ผืนป่าตะวันตกของไทย กาญจนบุรีมีพื้นที่ป่าราว 67% หรือประมาณ 5.8 ล้านไร่ ครอบคลุมผืนป่าตะวันตกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผืนป่าแห่งนี้สามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้ราว 5.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
3. จังหวัดน่าน เมืองแห่งการฟื้นฟูป่าและเกษตรคาร์บอนต่ำ แม้ในอดีตน่านจะเคยเผชิญกับปัญหาการบุกรุกป่าเพื่อปลูกข้าวโพดอย่างหนัก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามฟื้นฟูป่าอย่างจริงจังจนพื้นที่ป่าปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น ราว 60% หรือประมาณ 4.2 ล้านไร่ ทำให้น่านสามารถลด และ ดูดซับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4.96 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
4. จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดินแดนแห่งป่าเขา แต่เผชิญความท้าทาย แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มี พื้นที่ป่ามากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็น 85% หรือราว 7.3 ล้านไร่ แต่ป่ากว่า 40% อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม จากทั้งการบุกรุกเพื่อทำเกษตรและไฟป่าซ้ำซาก แต่หากฟื้นฟูได้อย่างต่อเนื่อง พื้นที่ป่าของแม่ฮ่องสอน สามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 4.92 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
5. จังหวัดเชียงใหม่ – ป่ารอบเมืองใหญ่ กับแนวทางชุมชนสีเขียว เชียงใหม่มีพื้นที่ป่าประมาณ 60% ทั้งป่าธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ เช่น ดอยอินทนนท์ และป่าชุมชนรอบพื้นที่เกษตร มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 3.94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
และรู้หรือไม่ว่าถ้าผืนป่าทั้งประเทศรวมกัน จะสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ได้เพียง 91 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ซึ่งมันยังไม่พอที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายการเป็น Net Zero ของประเทศที่ตั้งเป้าไว้ที่ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ดังนั้น การลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยจำเป็นต้องอาศัยแนวทางที่เฉพาะเจาะจงกับบริบทของแต่ละจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม การส่งเสริมการปลูกป่าในพื้นที่เกษตร หรือการปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานในเมืองใหญ่ หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่ Net Zero ภายใน 40 ปีข้างหน้า จังหวัดที่ปล่อยคาร์บอนสูงเหล่านี้คือ “แนวหน้า” ของการเปลี่ยนแปลงของประเทศ
ข้อมูล : องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก – องค์การมหาชน