สภาพัฒน์ฯ เปิดข้อมูลต้นปี 67 (1 ม.ค. – 13 ก.พ. 67) พบผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ PM 2.5 แล้ว 9.1 แสนราย โดยภาคเหนือพบผู้ป่วยสูงกว่าพื้นที่อื่น

13

7 มี.ค. 67 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผย “รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2566” โดยมีรายงานเกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ต่อสุขภาพของประชาชน ระบุว่า

จากระบบข้อมูล Health Data Center ของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2566 พบว่า ผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ มีจำนวน 10.5 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.6 ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคผิวหนังอักเสบ และโรคตาอักเสบ ซึ่งพบมากที่สุดในภาคเหนือ รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายโรคสำคัญจากฝุ่นละออง PM 2.5 และรายจังหวัด ในปี 2566 พบว่า โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 39.1 โดยพบผู้ป่วยมากสุดในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา รองลงมาเป็นโรคมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 โดยพบมากสุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป

สำหรับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในปี 2567 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-13 กุมภาพันธ์ 2567 พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศแล้ว 9.1 แสนราย โดยภาคเหนือพบผู้ป่วยสูงกว่าพื้นที่อื่น

ดังนั้น จึงต้องเฝ้าระวังป้องกันโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว หากจำเป็นต้องออกจากบ้านให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่น ทั้งนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยมีแนวทางการแก้ไขที่สำคัญ คือ
1) การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5
2) การควบคุมปริมาณการปล่อยสารมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม
3) การลดการเผาหญ้าหรือขยะมูลฝอยในที่โล่ง
4) การส่งเสริมให้เดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน นอกจากนี้ ยังต้องสร้างจิตสำนึกให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกัน จะเป็นการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศได้อย่างยั่งยืน

3.3089acff1187290b9.jpeg