ครูสาว ลาออกราชการ ร่ายยาวเหตุผล-ความรู้สึก งานกลืนชีวิต ระบบบ้าเอกสาร ขอกลับไปเป็นชาวสวนเต็มตัว

2353

2 พ.ค. 66 – ผู้ใช้เฟซบุ๊ก บัญชี “Sunsanee Wonghong” ซึ่งเป็นข้าราชการครู ได้โพสต์ข้อความบันทึกเป็นความทรงจำ หลังตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู ซึ่งเจ้าตัวได้รับราชการเป็นคุณครูมานาน รวม 10 ปี 8 เดือน 24 วัน โดยได้ร่ายยาวความรู้สึก สรุปได้ว่า

คำถามที่หลายคนคงถามตรงกันคือ ลาออกทำไม???
ในช่วงแรกที่ตัดสินใจบอกคนอื่นน้อยมาก เพราะงานเยอะยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใครนัก พอเวลาผ่านไปก็เริ่มบอกคนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อให้เขาได้เตรียมวางแผนก่อนที่เราจะออก

ลาออกทำไม…ขอตอบในส่วนที่อยากตอบและอยากสื่อสาร จะได้เข้าใจตรงกันว่าทำไมศันสนีย์ไม่ไปโรงเรียน
1. ชีวิตการเป็นครูของศันสนีย์ในปัจจุบันนั้นเหนื่อยและหนักหนามาก สมกับคำว่า “คุรุ” ที่แปลว่า หนัก ตั้งแต่รับราชการมา ไม่เคยมีคำว่าสบาย ใครที่บอกอาชีพครูสบายนี่อยากให้มาลองเลย
2. ศันสนีย์ไม่ได้เป็นครูอย่างเดียว เป็นชาวสวนด้วย และเป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ เดิมจันทร์-ศุกร์ กลางวันและกลางคืนทำงานโรงเรียน เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดอื่นๆทำงานสวน แต่ปัจจุบันพบว่างานโรงเรียนได้กลืนกินชีวิตศันสนีย์ไปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แทบไม่มีเวลาให้กับสวนหรือการพักผ่อนเลย เสาร์-อาทิตย์ กลางวันกลางคืนยังนั่งพิมพ์งานแง็กๆอยู่หน้าคอม งานโรงเรียนหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน ช่วงเวลาสำคัญของสวนเช่นการแต่งลูกและการขายมันเป็นดิวสำคัญมาก แต่ก็มาไม่ได้ต้องไปโรงเรียน
3. เหตุผลจากข้อ 1 เริ่มทำให้ศันสนีย์ เริ่มกินข้าวไม่ตรงเวลาจนถึงไม่ได้กินข้าวเที่ยงหลายครั้ง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย และเมื่อต้องทำสวนด้วยแน่นอนว่าคำว่าพักผ่อนจึงไม่มีบนโลกของศันสนีย์ เป็นครูก็หนัก ทำสวนก็หนัก ร่างกายและจิตใจก็เริ่มพังเรื่อยๆ คนที่ทำอาชีพครูอย่างเดียว หรือทำสวนอย่างเดียวจึงอาจไม่เข้าใจ
4. ความคิดว่าจะลาออกไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่าปีแล้วแค่ไม่ได้พูดกับใครเยอะ อยู่ๆเป้าหมายของชีวิตก็คือการลาออกเฉย ถามว่าทำไม? เราเบื่อระบบหลายๆตรงที่มันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เป็นระบบที่บ้าเอกสารมาก ต้องปั่นเอกสารหนาๆเยอะมาก แต่ไม่ได้มีใครอ่านหรอก ดูแค่ว่าปกคืออะไรหนาไหม ส่งยัง จบ!! แล้วก็เบื่อวิถีของครูที่บ้าการแข่งขัน ไม่อยากแข่งก็ต้องแข่ง เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพื่อให้มีผลงาน เด็กบางกลุ่มบางคนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะแข่ง ศปหถก. เอาจริงๆนะส่งครูแข่งเถอะ หมดงบกันไปเท่าไหร่ ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า เรากำลังหลงทางกันรึป่าว สิ่งที่เราควรโฟกัสคือการสอนในห้อง งานสอนมันต้องมาลำดับ 1 ไม่ใช่งานพิเศษ ไม่ใช่งานอื่น และก็มีอีกหลายประเด็นที่คนเป็นครูก็รู้กันดี การรอให้อายุราชการครบ 25 ปีแล้วค่อยลาออก สำหรับศันสนีย์จึงเป็นไปได้ยากมากๆ
5.สุดท้ายก็ตกตะกอนว่า… การรับราชการครูดีนะ ศันสนีย์ภูมิใจที่ได้รับราชการครู เงินเดือนดีกว่าราชการอื่นๆ มีสวัสดิการให้นั่นนี่ แต่สิ่งที่ต้องแลกคือสุขภาพกาย ใจ เวลา ชีวิต ที่ต้องทุ่ม ณ ตอนนี้เริ่มมองว่ามันไม่คุ้ม ครูที่สบายคือครูที่ตายแล้วกับครูที่ไม่ทำงาน เราเป็นคนทำอะไรจริงจังและทุ่มเท การให้เราหลอยๆค่อยๆลดงานจนเป็นครูที่ไม่ทำงาน ไม่ใช่วิถีของศันสนีย์…อาชีพครูก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่มันแค่ไม่เข้ากันกับสิ่งที่เราเป็นในปัจจุบันแล้ว ในอดีตเป้าหมายของชีวิตคือการเติบโตในชีวิตราชการ แต่ปัจจุบันความคิดเปลี่ยนไป เป้าหมายของชีวิตเราคือการได้ใช้ชีวิต มีสุขภาพกายใจที่ดี และมีเวลากับครอบครัว

จากเหตุผลทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันก็มาประจวบเหมาะกับจังหวะของครอบครัว สวนที่ต้องการการดูแล แม่ก็เริ่มสุขภาพไม่ดี คิดว่าการทุ่มเทชีวิตให้กับครอบครัวมันเป็นเรื่องที่ดีกว่า เสียดายอยู่สองอย่างคือ การไม่ได้สอนนักเรียนแล้วเพราะเราชอบสอน และจะต้องห่างออกมาจากมิตรภาพของเพื่อนร่วมงานที่น่ารักมากๆ

สุดท้ายนี้ ถ้าใครคิดจะลาออกก็ขอให้ไตร่ตรองให้ดี คำถามที่ต้องตอบให้ได้คือ
1. ลาออกแล้วจะไปทำอะไร มีรายได้มาจากไหน จะใช้ชีวิตอย่างไร
2. ต้องถอดยศถาบรรดาศักดิ์กลายมาเป็นคนธรรมดา รับได้หรือไม่
3. เมื่อไม่ได้รับสิทธิราชการของเราแล้ว เราจะดูแลตัวเองและครอบครัวอย่างไร
4. ก่อนออกต้องศึกษาว่าเราจะได้สิทธิอะไรจากราชการบ้าง และวางแผนให้ดี
(ของเรารับราชการเกิน 10 ปี มีสิทธิรับบำเหน็จและ กบข.)
5. ดูเงื่อนไขการลาออกด้วยว่าอยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้หรือไม่ ต้องไม่อยู่ในช่วงลาศึกษาต่อ ใช้ทุน อยู่ระหว่างถูกสอบวินัยหรือคดี ที่สำคัญถ้ามีหนี้ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน
6. ยื่นคำร้องขอลาออกไม่น้อยกว่า 30 วันต่อผู้บังคับบัญชา