ปล่อยที่ดินทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์ นานเกิน 10 ปี รัฐอาจยึดคืน!!

514

10 ส.ค. 65 – ศูนย์ต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ได้ดำเนินการตรวจข้อมูลที่ปรากฏในสื่อ กรณีหากปล่อยที่ดินทิ้งร้างไว้นานเกิน 10 ปี จะโดนรัฐบาลยึด โดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

ตามมาตรา 6 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติว่านับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ ใช้บังคับบุคคลใดมีสิทธิในที่ดินตามโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากบุคคลนั้นทอดทิ้ง ไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่ร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
1. สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน เกินสิบปีติดต่อกัน
2. สำหรับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เกิน 5 ปีติดต่อกัน ให้ถือว่าเจตนาสละสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนที่ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือที่ปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เมื่ออธิบดีได้ยื่นคำร้องต่อศาล และศาลได้สั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าว ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐเพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายนี้ต่อไป

กระทรวงมหาดไทยได้วางระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าให้ตกเป็นของรัฐ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2522 ว่าการพิจารณาว่าที่ดินแปลงใดมีผู้ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าให้พิจารณาถึงการทำประโยชน์ เพียงแต่ล้อมรั้วหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่ แต่ไม่ทำประโยชน์ ย่อมถือว่าเป็นการทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า สำหรับที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านหรือในเมือง แม้จะยังไม่ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแต่เจ้าของยังมีเจตนาถือเพื่อตนอยู่ ก็ให้ถือว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่ได้ทำประโยชน์แล้วโดยสภาพ

ซึ่งภายในเดือนมกราคมของทุกปีจังหวัดจะทำการสำรวจแล้วรายงานให้กระทรวงมหาดไทย จากนั้นจะมีขั้นตอนการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
1. จังหวัดหรืออำเภอจะทำหนังสือแจ้งให้เจ้าของที่ดิน ทำประโยชน์กับพื้นที่ภายในเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่วันได้รับแจ้ง
2. เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่จัดการ ทางจังหวัดจะตั้งกรรมการพิจารณษว่ามีการทอดทิ้งที่ดินให้รกร้างเกินกำหนดเวลาจริงหรือไม่เพียงใด
3. เมื่อคณะกรรมการมีความเห็นว่ามีการทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน ทางจังหวัดจัทำความเห็นส่งกรมที่ตินเพื่อพิจารณาดำเนินการส่งเรื่องให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งเพิกถอนหนังสือแสตงสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้ตกเป็นของรัฐต่อไป