ตำรวจเตือนคนร้ายอาจแฮกไลน์ได้จากเฟซบุ๊ก แนะให้ยกเลิกเชื่อมต่อลิงก์กับบัญชีไลน์ แล้วเข้าระบบด้วยเบอร์โทรหรืออีเมล

326

ตำรวจเตือนคนร้ายอาจแฮกไลน์ได้จากเฟซบุ๊ก แนะให้ยกเลิกเชื่อมต่อลิงก์กับบัญชีไลน์ แล้วเข้าระบบด้วยเบอร์โทรหรืออีเมล

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ POLICE CYBER TASKFORCE (PCT) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากฝ่ายรับแจ้งความออนไลน์ว่ามีผู้เสียหายถูกคนร้ายแฮกเฟซบุ๊กแล้วใช้บัญชีไลน์ หลอกยืมเงินเพื่อน สร้างความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งยังเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า ก่อนอื่นขอบอกว่าแอปพลิเคชันไลน์ เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทุกคนที่มีโทรศัพท์มือถือจะมีบัญชีไลน์ ด้วยสาเหตุที่หลายคนใช้บัญชีเฟซบุ๊กลิงก์กับบัญชีไลน์เพื่อเข้าสู่ระบบเพราะความสะดวกสบาย ทำให้คนร้ายนำช่องทางนี้มาใช้ประโยชน์ สร้างความเสียหายกับเจ้าของบัญชีได้อย่างมหันต์ แต่สามารถป้องกันได้

ประการแรก ให้ทำการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น เหมือนบังคับให้ต้องมีกุญแจ 2 ดอก เพื่อเข้าสู่บัญชีเฟซบุ๊กของเรา ถ้าเขาเข้าเฟซบุ๊กไม่ได้ เขาก็เข้าไลน์ไม่ได้เช่นกัน

ประการที่สอง ให้กลับไปดูการตั้งค่าที่แอปพลิเคชันไลน์ในตอนนี้ ว่าเชื่อมต่อกับบัญชีเฟซบุ๊กไว้หรือไม่ ถ้าเชื่อมแต่ไม่ได้ใช้ฟีเจอร์นี้ในการเข้าระบบเลย แนะนำให้ยกเลิกการเชื่อมต่อไปใช้การเข้าระบบด้วยอีเมลหรือเบอร์โทรแทน

ประการที่สาม ในแอปพลิเคชันไลน์ จะมีฟังก์ชันอนุญาตให้เข้าสู่ระบบจากเครื่องอื่นได้ ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าระบบผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ปิดไว้

ประการที่สี่ เมื่อไลน์ในมือถือหลุดออกจากระบบ ให้สันนิษฐานไว้ว่าโดนแฮกไลน์แล้ว

ประการสุดท้าย เมื่อมีเพื่อนในไลน์ ส่งข้อความขอยืมเงิน ให้โทรกลับไปเพื่อตรวจสอบ และยืนยันว่าเป็นเพื่อนของเราจริง เพียงเท่านี้เราก็จะปลอดภัยจากอาชญากรและมิจฉาชีพทั้งหลาย

จากสถิติคดีออนไลน์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้มีศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม – 27 พฤษภาคม 2565 พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความแล้ว 29,345 ราย แบ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับ

1. ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า 10,500 คดี

2. หลอกให้ทำงานออนไลน์ (เช่น ให้รีวิวสินค้า, กดไลก์ Tiktok, กดไลก์สินค้า) 3,599 คดี

3. หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 2,962 คดี

4. ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว (คอลเซ็นเตอร์) 2,274 คดี

5. หลอกให้รักแล้วลงทุน (Hybrid scam) 1,368 คดี

6. หลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ 1,203 คดี

7. ปลอมโปรไฟล์เพื่อหลอกยืมเงิน 901 คดี

8. แชร์ลูกโซ่ 808 คดี

9. ซื้อสินค้าแต่ได้ไม่ตรงตามโฆษณา (ไม่ตรงปก) 431 คดี

10. หลอกให้รักแล้วโอนเงิน 293 คดี

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใย จึงสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอยู่ในขณะนี้ อยากฝากเตือนว่า อย่าหลงเชื่อโอนเงินให้ใครง่าย ๆ ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อน หากสงสัยหรือแจ้งเบาะแส ได้ที่สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com และฝากติดตาม Facebook : PCT POLICE เพื่อรู้ทันความคิดของโจรออนไลน์

blank