‘ซิโนแวค’ เอาอยู่!! ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 รองรับไวรัส ‘โอมิครอน’ ได้ 94%

122

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2564 น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้โพสต์เกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 และการรับมือกับเชื้อโควิดโอมิครอน ผ่านทาง blockdit ส่วนตัว ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย โดยระบุว่า

น่าสนใจ !! ฉีดวัคซีน Sinovac กระตุ้นเข็มที่ 3 รองรับไวรัส Omicron ได้ 94%
หลังจากที่ไวรัส Omicron ได้รับการประกาศโดยองค์การอนามัยโลกให้เป็นไวรัสน่ากังวล (VOC) เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2564ขณะนี้ Omicron ระบาดไปแล้วเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนดี ซึ่งแตกต่างกับไวรัสเดลต้า ซึ่งใช้เวลานานถึงสามเดือน 3 นอกจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็วแล้ว ยังมีข้อมูลทยอยออกมาในเบื้องต้นว่า ไวรัสดื้อต่อวัคซีนด้วย

ข้อมูลส่วนที่มาจากทางบริษัท Pfizer พบว่าการทดลองในห้องปฎิบัติการ วัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม รับมือ Omicron ได้น้อยลง 32 เท่า โดยมีระดับภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อเหลือ 33% แต่เมื่อฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 แล้วทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น เป็นประมาณ 90% คือเท่ากับวัคซีน 2 เข็มที่เคยรับมือกับไวรัสสายพันธุ์หลักเดิม

ในขณะเดียวกันก็มีรายงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงพบว่า ในผู้รับวัคซีน Pfizer 2 เข็ม มีระดับภูมิคุ้มกันที่รับมือกับไวรัส Omicron ได้ 24 % และผู้ที่รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ไม่มีระดับภูมิคุ้มกันที่รับมือกับไวรัส Omicron ล่าสุดมีรายงานการศึกษาเพิ่มเติมว่าผู้ฉีดวัคซีน Sinovac 2 เข็ม มีภูมิคุ้มกันรับมือ Omicron ได้ 35% คือ 7 รายใน 20 ราย

ในขณะที่เมื่อฉีดกระตุ้นเข็ม 3 จะมีระดับภูมิคุ้มกันที่จะรับมือ Omicron เพิ่มขึ้นเป็น 94% คือ 45 รายใน 48 ราย ซึ่งเทียบเท่ากับฉีดวัคซีน Pfizer 3 เข็ม จึงทำให้วัคซีนเชื้อตายของ Sinovac กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง ในสถานการณ์ที่มี Omicron ระบาด และวัคซีนรุ่นใหม่ที่จะผลิตเพื่อรองรับไวรัส Omicron ยังไม่เสร็จสิ้น
ขณะนี้วัคซีน Sinovac นอกจากจะฉีดในประเทศจีนนับ 1,000 ล้านโดสแล้ว ยังฉีดในอีก 44 ประเทศทั่วโลกกว่า 800 ล้านโดส เป็นในเขตเอเชียแปซิฟิค 54% อเมริกาใต้ 28% ยุโรป 13% แอฟริกา 5% ประเทศไทยจึงควรพิจารณาและติดตามการศึกษาอย่างใกล้ชิดต่อวัคซีนเชื้อตายคือ Sinovac และ Sinopharm รวมทั้งวัคซีน Viral vector คือ AstraZeneca และ JNJ รวมทั้งวัคซีน mRNA คือ Pfizer และ Moderna ต่อไป

เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากที่สุด ในการรับมือไวรัส Omicron ต่อไป