เสียหายครึ่งล้าน! เหยื่อหอบหลักฐานร้องสื่อ ถูกหลอกจากแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็น DHL

1195

เสียหายครึ่งล้าน! เหยื่อหอบหลักฐานร้องสื่อ ถูกหลอกจากแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็น DHL ส่วนตัวเสียหายครึ่งล้าน เผยหลักฐานกลุ่มผู้เสียหายอื่นเกือบ 50 รายทั่วประเทศ สูญเงินแล้วกว่า 17 ล้านบาท แต่คดียังเงียบ

วันที่ 16 ธ.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางสาวแพร (นามสมมุติ) ชาวเชียงใหม่ อายุ 30 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย จากกรณีถูกหลอกจากคอเซ็นเตอร์ ที่อ้างว่ามาจากบริษัทขนส่งสินค้า DHL ที่ทำกันเป็นขบวนการมีทั้งปลอมเป็นคอเซ็นเตอร์ พนักงาน DHL และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง เชียงใหม่ โดยใช้กลวิธีหลอกล่อทางโทรศัพท์ว่ามีพัสดุที่มีสิ่งของผิดกฎหมาย และบอกว่ามีพฤติกรรมฟอกเงิน เพื่อล้วงข้อมูลและ อ้างว่าจะอายัดบัญชี พร้อมทั้งออกหมายจับ หากไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบช่องทางการเงินในบัญชีของตัวเอง ก่อนที่ผู้เสียหายจะหลงเชื่อและถูกหลอกให้โอนเงิน โดยส่วนตัวแค่รายเดียว โอน 3 บัญชี สูญเงินกว่า 516,000 บาท และยังได้นำหลักฐานของผู้เสียหายที่รวบรวมรวบรวมมาทั่วประเทศได้อีกเกือบ 50 ราย ที่ถูกมิจฉาชีพกลุ่มนี้หลอกในลักษณะเดียวกัน และแจ้งความไว้ทั่วประเทศ รวมเงินมูลค่าความเสียหายกว่า 17 ล้านบาท

blank

โดยทาง นางสาวแพร (นามสมมุติ) ชาวเชียงใหม่ อายุ 30 ปี เล่าว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.64 ได้มีโทรศัพท์หมายเลข 060-0036029 เป็นเสียงผู้หญิงโทรเข้ามาที่เครื่องตน โดยอ้างตัวว่าเป็น Call center ของบริษัทรับส่งพัสดุ DHL และแจ้งว่าพัสดุที่ถูกส่งไปยังประเทศจีน ในชื่อของเธอ ได้ถูกศุลกากรตรวจพบว่าเป็นของสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้นได้แจ้งให้กด 0 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท เพื่อรับทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งเธอแน่ใจว่าไม่ได้เป็นคนส่งพัสดุดังกล่าวอย่างแน่นอน จึงสันนิษฐานว่า น่าจะมีคนแอบอ้างนำชื่อของเธอไปใช้ในการส่งพัสดุ และไม่ได้สงสัยว่าเป็นแก๊งมิจฉาชีพ และสร้างเรื่องขึ้นมาหลอกลวงเธอ

blank

จากนั้นมีการพูดคุยกับคนที่อ้างว่าเป็นพนักงาน DHL และบอกว่าพัสดุที่ผิดกฎหมายถูกส่งเป็นชื่อเธอไปที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และถูกศุลกากรตรวจสอบ และพบว่าข้างในเป็นพัสดุประกอบด้วย หนังสือเดินทางจำนวน 12 เล่ม บัตรจำนวน ATM 7 ใบ และเสื้อผ้าอีกจำนวน 6 ชุด ต่อมาหลังจากนั้นพนักงานคนดังกล่าวก็อาสาที่จะช่วยต่อสายโทรศัพท์ไปยังสถานีตำรวจให้ และมีผู้ที่อ้างเป็นตำรวจ ชื่อหมวดรันย์ ประจำอยู่ สภ.เมืองเชียงใหม่ รับสายและแนะนำให้แอดไลน์ “สภ.อ. เมืองเชียงใหม่” เพื่อดำเนินการแจ้งความที่ช่องทางนั้น จากนั้นผู้หมวดคนดังกล่าวก็ขอวางสายโทรศัพท์ และบอกให้ย้ายไปโทรคุยในไลน์จากนั้นใช้ไลน์บัญชีชื่อ สภ.อ. เมืองเชียงใหม่ โทรหาเธอ และบอกว่าจะเริ่มกระบวนการรับแจ้งความ โดยจะมีการบันทึกเสียง ห้ามมีผู้ใดอยู่ในสถานที่ที่เธอพูดคุยกับตำรวจนายนี้ ให้ตั้งใจและมีสมาธิห้ามทำอย่างอื่นเป็นอันขาด ใช้น้ำเสียงและข้อความแกมบังคับ ที่จะให้เธอจดจ่อกับการแจ้งความ ห้ามทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมไปด้วย ตอนนั้นเธอรู้สึกกดดัน ไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองถึงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่มีความเฉลียวใจที่จะตรวจสอบความน่าเชื่อถือหรือมีเวลาคิดที่จะคลางแคลงใจเลยแม้แต่น้อย และหากไม่ตอบตามความจริง จะถือว่ามีโทษที่ไม่ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงยอมให้ข้อมูลส่วนตัวไป

blank

จากนั้นผู้อ้างตัวเป็นตำรวจ ได้แจ้งว่าเมื่อไม่นานมานี้ ทางตำรวจได้จับกุมแก๊งฟอกเงิน ที่มีผู้ต้องหาชื่อนายสมศักดิ์ และจับกุมของกลาง ซึ่งมีสมุดบัญชีธนาคารกรุงเทพของเธอรวมอยู่ในนั้นด้วย โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเจ้าของบัญชีได้ขายสมุดบัญชีของตนเอง เพื่อร่วมลงทุนแบบผิดกฎหมาย โดยเธอเกิดความสงสัยและแย้งถึงการสอบถามข้อมูลบางอย่างที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัว แต่ผู้หมวดคนดังกล่าวกลับใช้น้ำเสียงดุดัน และข่มขู่ หาว่าตนมีพิรุธ อีกทั้งยังข่มขู่ว่าครอบครัวของเธอว่าจะต้องเดือดร้อน รวมถึงที่ทำงานและเพื่อนร่วมงานจะต้องเดือดร้อนด้วย

blank

และเมื่อการพูดคุยดำเนินเกือบ 2 ชั่วโมง ด้วยความเหนื่อยล้าและความกดดัน รวมถึงการข่มขู่เรื่องจะถูกอายัดบัญชีต่างๆ ครอบครัวจะต้องเดือดร้อน ที่ทำงานและเพื่อนร่วมงานจะต้องได้รับความเดือดร้อน โดยชายที่อ้างเป็นตำรวจ ได้ใช้คำพูดหว่านล้อมให้ข้าพเจ้ายินยอมที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และยินยอมให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินสดของเธอเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการฟอกเงิน โดยต้องโอนเงินสดที่มีอยู่ในบัญชีทั้งหมดทางอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ไปยังบัญชีของเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบโดยบอกว่าหลังจากโอนเงิน ฝ่ายตรวจสอบจะโอนเงินกลับเพื่อคืนเงิน โดยโอนไปบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อ นางกันยา กันจร เลขบัญชี 786-0-460114 จากบัญชีของเธอ 3 ธนาคาร เป็นเงินรวมกว่า 516,000 บาท จากนั้นคนร้ายก็ไม่โอนเงินคืนและบล็อกการติดต่อสื่อสาร ตนจึงรู้ว่าถูกหลอก จึงเดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.สันทราย เชียงใหม่ ในวันเดียวกันกับที่เกิดเหตุ

blank

ขณะที่หลังจากดำเนินการแจ้งความไปแล้วนั้น ระยะเวลาผ่านมากว่า 1 เดือน ปรากฏว่าในคดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด และต่อมาจากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงพบผู้เสียหายจากกรณีเดียวกันเดือบทั่วประเทศ จากนั้นจึงได้ตั้งกลุ่มไลน์พูดคุยกันถึงทางออกในการดำเนินคดี เบื้องต้นมีผู้เสียหายเกือบ 50 คน ที่มีการแจ้งความไว้ทั้งในพื้นที่ เชียงใหม่ , เชียงราย , กรุงเทพ , นนทบุรี , ปทุมธานี , สมุทรปราการ , ฉะเชิงเทรา , ชลบุรี , ขอนแก่น , อุบลฯ , ยะลา , สุราษฎร์ธานี และอีกหลายจังหวัดที่ตอนนี้มีการรวบรวมค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้กว่า 17 ล้านบาท

นางสาวแพร (นามสมมุติ) บอกอีกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนอยากขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง สืบสวนจับกุมคนร้ายในคดีนี้ให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากอาจจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อได้อีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตนเสียดายเงินที่เก็บหอมรอมริบมาจากการทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย ขณะเดียวกันจากข้อมูลที่ตนเองรวบรวมได้ก็มีหลักฐานค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมคดีถึงไม่คืบหน้า และคดีที่เกิดขึ้นก็มีผู้เสียหายถูกหลอกเกือบทั่วประเทศ อีกทั้งคาดว่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ยังไม่ปรากฏ โดยต่อจากนี้จะเดินหน้าเข้าร้องกับตำรวจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่อไป