กรมอนามัย แนะ 3 กลุ่มหลัก‘สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย–ครู–ผู้ปกครอง’ เตรียมพร้อมก่อนเปิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19

82

กรมอนามัย แนะ 3 กลุ่มหลัก‘สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย–ครู–ผู้ปกครอง’ เตรียมพร้อมก่อนเปิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เตรียมความพร้อมใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ เจ้าของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ครูผู้ดูแลเด็ก และกลุ่มผู้ปกครอง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 พร้อมแนวทางปฏิบัติการดูแลเด็กและครอบครัวที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ ให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงที่ปิดสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย หลายครอบครัวจำเป็นต้องนำลูกไปที่ทำงานด้วย ทำให้เด็กต้องไปสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยทั้งจากการเดินทาง และในที่ทำงานของพ่อแม่ทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น การเตรียมความพร้อมก่อนเปิดสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในช่วงของการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 นั้น ยังคงต้องเข้มงวดและปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะ 3 กลุ่มหลักที่ต้องเฝ้าระวังและป้องกันอย่างต่อเนื่องคือ กลุ่มที่ 1 เจ้าของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ควรทำความสะอาดสถานที่ สิ่งของเครื่องใช้ จุดสัมผัสต่าง ๆ รวมถึงยานพาหนะที่ใช้รับส่งให้สะอาด ปลอดภัย ในช่วงที่เปิดทำการควรกำหนดจุดรับ-ส่งเข้าออกเฉพาะจุดเท่านั้น และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาบริเวณพื้นที่ภายในของศูนย์เด็กเล็ก ควรกำหนดจุดคัดกรอง วัดไข้ จุดล้างมือ ล้างเท้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กก่อนเข้าเรียน กลุ่มที่ 2 ครูผู้ดูแลเด็ก จะต้องสังเกตอาการตนเองหรือคนใกล้ชิดอยู่เสมอ หากมีไข้ ไอ เหนื่อยหอบ หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้หยุดงานทันที รวมทั้ง  ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย และใส่เฟสชิลด์โดยเฉพาะช่วงรับส่งเด็ก ในส่วนของการจัดกิจกรรมควรให้เด็กอยู่ภายในกลุ่มตัวเองหรือแยกเป็นรายบุคคล ไม่ให้ข้ามกลุ่มไปมา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค รวมทั้งการกินอาหารและการนอน ต้องเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร หรือมีฉากกั้นระหว่างบุคคล กลุ่มที่ 3 ผู้ปกครอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญ พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเตรียมของใช้ส่วนตัวของเด็ก เช่น หน้ากากผ้า เสื้อผ้า เพื่อใช้ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน และเมื่อมารับเด็กกลับบ้าน ไม่ควรแวะตาม     สถานที่เสี่ยงต่าง ๆ ขอให้รีบกลับบ้าน และให้เด็กอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเมื่อถึงบ้าน แต่หากพบว่าบุตรหลานของตนเองมีอาการป่วย มีไข้ ไอ มีน้ำมูก หรือเหนื่อยหอบ คนในครอบครัวป่วยด้วยโรคโควิด-19 หรือกลับจากพื้นที่เสี่ยงและอยู่ในช่วงกักตัว ต้องขอให้เด็กหยุดเรียนและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ก่อนเปิดเรียนขอความร่วมมือให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเข้ารับการประเมินตนเองผ่าน Thai stop COVID Plus เพื่อเป็นการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยประเมินรับรองก่อนเปิดสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ส่วนครูพี่เลี้ยงและเจ้าหน้าที่ทุกคนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยขอให้ประเมินความเสี่ยงตนเองผ่านเว็บไซต์ “ไทยเซฟไทย” เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคไปยังเพื่อนร่วมงานและ       เด็กที่ดูแล พร้อมสนับสนุนให้ได้รับการฉีดวัคซีน รวมถึงคนในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโควิด-19

“ทั้งนี้ ในกรณีที่พบเด็กและครอบครัวที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่แสดงอาการ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงานพัฒนา     เด็กปฐมวัยแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติ 4 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ แนวทางที่ 1 กรณีเด็กเป็นผู้ติดเชื้อและผู้ปกครองเป็นผู้ติดเชื้อให้เข้ารับการรักษา โดยเน้นให้จัดอยู่เป็นกลุ่มครอบครัว แนวทางที่ กรณีเด็กเป็นผู้ติดเชื้อแต่ผู้ปกครองไม่เป็นผู้ติดเชื้อ  ให้เด็กเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือฮอสพิเทล โดยผู้ปกครองควรอายุไม่เกิน 60 ปี และไม่มีโรคประจำตัว สามารถเข้าดูแลเด็กในสถานพยาบาลได้ แต่สำหรับโรงพยาบาลสนาม ควรจัดพื้นที่ให้เด็กและผู้ปกครองเป็นการเฉพาะ โดยแยกจากผู้ติดเชื้ออื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อโรคได้  แนวทางที่ 3 กรณีเด็กไม่เป็นผู้ติดเชื้อแต่ผู้ปกครองเป็นผู้ติดเชื้อ ให้ญาติเป็นผู้ดูแล หากไม่มีญาติหรือผู้ดูแลเด็ก ให้ส่งเด็กไปยังสถานสงเคราะห์หรือบ้านพักในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้ดูแลต่อไป แต่ถ้าในชุมชนพบเด็กไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจำนวนมาก อาจพิจารณาใช้พื้นที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในชุมชนเป็นที่ดูแลเด็ก โดยพิจารณาจากความพร้อมของสถานที่ บุคลากร และการบริการจัดการ ตามดุลพินิจคณะกรรมการป้องกันโรคจังหวัด หรือกรุงเทพมหานคร และแนวทางที่ 4 กรณีที่เกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้คณะกรรมการป้องกันโรคจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร พิจารณาให้เหมาะสมตามบริบทเพื่อดำเนินการดูแลเด็กต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ที่มา :กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ลิ้งค์บทความ : https://1th.me/Wi2VY