ผู้เสียหายกว่า 30 ราย เดินทางร้อง ตร.ภาค 5 หลังถูกสาวชาวอุบลฯ อ้างพาไปทำงานที่เกาหลีได้ โดยให้จ่ายเงินทำเรื่องและเรียนภาษา แต่สุดท้ายหายเข้ากลีบเมฆ พบมีผู้เสียหายรายอื่นอีกกว่า 100 ราย สูญเงินร่วม 10 ล้านบาท

1023

ผู้เสียหายกว่า 30 ราย เดินทางร้อง ตร.ภาค 5 หลังถูกสาวชาวอุบลฯ อ้างพาไปทำงานที่เกาหลีได้ โดยให้จ่ายเงินทำเรื่องและเรียนภาษา แต่สุดท้ายหายเข้ากลีบเมฆ พบมีผู้เสียหายรายอื่นอีกกว่า 100 ราย สูญเงินร่วม 10 ล้านบาท

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 ก.พ. 64 กลุ่มผู้เสียหายประมาณ 30 กว่าคน ได้เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อเข้าร้องเรียนกับทางศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 กรณีที่ทางกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมด ถูกหญิงสาวตามหลักฐานเอกสาร ทราบชื่อคือ น.ส.จอม ขมิ่นทอง อายุ 39 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี หลอกลวงให้จ่ายเงินรายละประมาณไม่ต่ำกว่า 22,000 บาท และบางราย 80,000 – 100,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถดำเนินการนำพากลุ่มผู้เสียเข้าไปทำงานต่างประเทศ คือ ประเทศเกาหลี และออสเตรเลีย ได้อย่างถูกกฎหมาย และสามารถดำเนินการตามมาตรการโควิด-19 ได้ ส่งผลทำให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อ และโอนเงินให้ แต่ต่อมา หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ หญิงสาวดังกล่าวกลับบ่ายเบี่ยง และไม่ยอมดำเนินการรวมทั้งไม่ยอมคืนเงินและขณะนี้ไม่สามารถติดตามตัวได้ จนกระทั่งต่อมาทางผู้เสียหายได้เดินทางไปแจ้งความ และเกือบ 1 เดือนยังไม่มีความคืบหน้า จึงเดินทางนำหลักฐานเข้ามาร้องเรียน และพบว่ากลุ่มผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าลีซอ นอกจากนี้ยังพบว่ามีกลุ่มผู้เสียหายรายอื่นๆ ซึ่งเป็นคนไทยและคนต่างจังหวัดอีกไม่ต่ำกว่า 100 ราย ที่ถูกหญิงสาวรายนี้หลอกลวงอีกด้วย

blank

โดยทาง น.ส.อริษา ธนะโชคดี อายุ 38 ปี ชาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้รู้จักกับหญิงสาวคนดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าตัวมาบอกกับตนว่าสามารถออกวีซ่า เพื่อให้สามารถเดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลีได้ โดยทางฝั่งประเทศเกาหลีมีนายหน้ารอรับเซ็นต์เรื่อง ซึ่งตนก็ถามทางหญิงสาวคนนี้ว่าช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด สามารถเดินทางไปได้จริงเหรอ แต่ทางหญิงสาวคนนี้ก็ยืนยันว่าสามารถออกวีซ่าให้ได้ โดยขอให้จ่ายเงินคนละ 22,000 บาท เพื่อเป็นการดำเนินเรื่อง โดยตนทราบมาว่าก่อนหน้านี้มีกลุ่มแรกที่เข้าไปสมัครกับหญิงสาวคนนี้ โดยกลุ่มนี้กำลังจะไปสอบ ซึ่งได้มีการลงเรียนภาษา 2 สัปดาห์ และตนยังถามกับหญิงสาวคนนี้ด้วยว่า การลงเรียนนั้นจะต้องสอบภาษาแบบจริงจังหรือไม่ แต่หญิงสาวรายนี้ก็บอกว่าไม่ได้จริงจังมากเพียงให้สามารถสื่อสารได้เท่านั้น ตนจึงหลงเชื่อและได้จ่ายเงินให้กับหญิงสาวรายนี้ แต่ต่อมาเมื่อโทรไปสอบถามหญิงสาวรายนี้ก็พูดจาบ่ายเบี่ยง โดยอ้างว่าจะโอนเงินคืนให้ รวมไปถึงรับปากว่าจะทยอยคืนเงินให้กับกลุ่มผู้ที่มาลงสมัคร แต่จนถึงขณะนี้ผ่านมาประมาณเกือบ 1 เดือนก็ไม่มีใครได้รับเงินคืนแต่อย่างใด แค่เฉพาะกลุ่มของตนที่โดนไปพร้อมกันก็ประมาณ 18 คน และยังไม่รวมกับกลุ่มอื่นๆ ที่ถูกหญิงสาวรายนี้หลอกลวงในลักษณะเดียวกันอีกหลายราย ตนกับกลุ่มผู้เสียหายจึงได้พากันรวมตัวเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเดินทางมาร้องเรียนให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 ช่วยติดตามตัวหญิงสาวรายนี้อีกทางหนึ่งด้วย

blank

ขณะที่ทางด้าน นายไกรสร เลายีป่า อายุ 37 ปี ชาว อ.เชียงดาว ผู้เสียหายอีกราย เล่าว่า หญิงสาวคนนี้ได้มีพูดจาชักชวนตน โดยบอกว่าไปทำงานที่เกาหลี มีเงินเดือนและค่าตอบแทน ชั่วโมงละ 8,590 วอน หรือประมาณ 240 บาท คิดเป็นเงินเดือน ตกอยู่ที่เดือนละประมาณ 1,941,340 วอน หรือประมาณ 50,435 บาท อีกทั้งยังมีโอทีต่างหาก คิดเป็นรายได้คร่าวๆ ประมาณเดือนละ 50,000 – 71,800 บาท โดยจะมีการสมัครและอบรม 14 วัน ตนจึงหลงเชื่อสมัครและจ่ายเงินค่าดำเนินการ รวมถึงลงเรียนในราคา 22,000 บาท แต่ต่อมาหญิงสาวคนนี้ก็ปิดโทรศัพท์มือถือ และไม่สามารถติดต่อได้อีก ตนกับกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 30 คน จึงต้องพากันไปแจ้งความดำเนินคดี โดยหญิงสาวคนนี้บอกกับตนว่าหากได้ไปทำงานที่เกาหลี จะได้ไปทำงานอยู่ในโรงงานกระดาษทิชชู่ เงินเดือนที่ได้ก็จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 – 60,000 บาท แต่ต้องเรียนภาษา 14 วัน ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตนหลงเชื่อเพราะว่าหญิงสาวรายนี้มีการนำภาพและข้อความโฆษณาต่างๆ มาให้ตนดู อีกทั้งบอกว่าสามารถติดต่อกับนายหน้าหรือคนรู้จักที่อยู่ที่นั่นได้ และยังบอกอีกว่าที่ผ่านมาเคยส่งคนไปทำงานมาแล้วหลายคนและเป็นคนในหมู่บ้านตน จึงทำให้ตนเชื่อถือและถูกหญิงสาวคนนี้หลอกเชิดเงินไปในที่สุด

blank

อย่างไรก็ตามภายหลังการเข้าร้องเรียนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 และเจ้าหน้าที่ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 แล้วนั้น เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้มีการรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้แล้ว โดยรับปากกับทางผู้เสียหายว่า จะมีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลของหญิงสาวรายนี้ จากนั้นก็จะมีการติดตามเบาะแส เพื่อนำตัวมาสอบสวน และหากพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็จะมีการแจ้งดำเนินคดีกับหญิงสาวรายนี้ตามกฎหมายต่อไป

blank blank blank blank